Monday, November 21, 2011

Day 6: Kyoto..วัดคิโยมิซึ วัดโคไดจิ ศาลเจ้ายาซากะ และสวนมารุยามะ

วันนี้ เราเดินทางไปในย่านฮิกาชิยามา (Higashiyama Area) อีกครั้ง โดยเป้าหมายแรกที่ไปคือ วัดคิโยมิซึ (Kiyomizu Temple) หรือที่คนไทยเรียกว่า วัดน้ำใส จุดเด่นของวัดนี้คือแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 สายที่ไหลมาบรรจบกัน มีความเชื่อว่า ผู้ที่ได้ดื่มแม่น้ำแต่ละสายก็จะได้พรประเสริฐแตกต่างกันไป ได้แก่ สุขภาพดีมีอายุยืนยาว ประสบความสำเร็จในการศึกษา และสมหวังในความรัก แต่มีข้อแม้ว่า จะต้องเลือกดื่มเพียงสายเดียวเท่านั้น นัยว่า ชีวิตคนเราจะต้องได้อย่างเสียอย่าง ไม่มีอะไรครบสมบูรณ์ไปทั้งหมดนั่นเอง
จากสถานีเกียวโต สามารถนั่งรถบัสสาย 100 และสาย 206 ลงที่ป้าย Gojozaka ใช้เวลาประมาณ 15 – 20 นาที จากนั้นจะต้องเดินขึ้นเนินชันที่มีชื่อว่า นันเซนซากะ (Sannenzaka slope) ซึ่งจะมีร้านขายของฝากละลานตาไปหมด
ที่ป้ายรถเมล์แถว ๆ ที่พัก เจอเด็ก ๆ มาเข้าแถวรอขึ้นรถไปโรงเรียนกัน...นึกถึงการตูนญี่ปุ่นสมัยเด็ก ๆ อีกแล้ว

Sannenzaka slope ยามเช้าตรู่ ร้านรวงยังไม่เปิดกันเลย

เมื่อไปถึงลานหน้าวัดคิโยมิซึ ก็เจอเด็กนักเรียนมาถ่ายรูปหมู่กันครึกครื้นทีเดียว

สู้ต๊ายคร๊า!!!

ซุ้มประตูหน้าวัดคิโยมิซึ
วัดคิโยมิซึ เปิดตั้งแต่ 6.00 – 18.00 น. ค่าเข้าชม 300 yen ค่ะ

เจดีย์ 3 ชั้น ภายในวัดคิโยมิซึ

ศาลาไม้ที่สร้างขึ้นบนเนินเขาของวัดคิโยมิซึ
ใบเมเปิ้ลสีแดงโอบล้อมศาลาวัดบนหน้าผา
สำรวจทางเดินรอบ ๆ
มุมคลาสสิก...ภาพของศาลาสูง 13 เมตร ที่สร้างจากไม้ล้วน ๆ และมองเห็น Kyoto Tower อยู่ลิบ ๆ
แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 สาย
คุณพี่ฝรั่งหล่อขโมยซีนซะงั้น!!
ของฝากประจำเมืองเกียวโตนามา ยาซึฮาชิ (Nama Yatsuhashi) ทำจากแป้ง น้ำตาลและชินนามอน มีทั้งแบบมีไส้และไม่มีไส้ ไส้ก็มีหลากหลายเช่น ถั่วแดง เกาลัด สตรอเบอรี่ ฯลฯ
โลโก้เครื่องสำอางยี่ห้อโยจิยะ (Yojiya)...ของฝากขึ้นชื่ออีกอย่างของเมืองเกียวโต แบรนด์นี้ถือกำเนิดในเกียวโตมาร้อยกว่าปี
(ตั้งแต่ปี 1904 โน่น) ผลิตภัณฑ์เด่นก็คือ ลิปปาล์มกลิ่นส้ม เหมาะแก่การซื้อฝากหรือฝากซื้อจ้า
เส้นทางที่แยกออกมาจาก Sannenzaka slope เชื่อมต่อไปยังวัดโคไดจิ (Kodaiji Temple) และสวนมารุยามะ (Maruyama park)
สาวเกอิชาหรือสาวไมโกะ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองเกียวโต
 เกอิชา (Geisha) คือ หญิงที่มีหน้าที่รินเหล้าและให้ความสำราญแก่บรรดาแขกที่มาดื่มกิน (มักจะเป็นหนุ่ม ๆ ซึ่งหมายรวมทั้งหนุ่มน้อยและหนุ่มมาก) โดยจะต้องมีความสามารถทั้งร่ายรำ ร้องเพลงและเล่นดนตรี ส่วน ไมโกะ (Maiko) นั้น อาจจะเรียกง่าย ๆ ว่าเป็น เกอิชาฝึกหัด ซึ่งอยู่ในระหว่างเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ในการก้าวสู่การเป็นเกอิชาเต็มตัว โดยมักจะมีอายุน้อยกว่า เพราะผู้หญิงที่อายุ 21 ปีขึ้นไป จะถือว่าแก่เกินไปแล้วที่จะเป็นสาวไมโกะ (โอย... ในฐานะผู้หญิงคนนึงฟังแล้วปวดใจ ทำไมผู้หญิงต้องถูกมองว่าแก่เร็วด้วย ไม่ยุติธรรม..งือ ๆ)
ความแตกต่างระหว่างเกอิชากับไมโกะ ที่สังเกตได้ง่ายที่สุด คือดูจากการทาปาก โดยเกอิชาจะทาปากทั้งริมฝีปากบนและริมฝีปากล่าง ส่วนไมโกะที่เฉพาะริมฝีปากล่างเท่านั้น
มุมเก่า ๆ โบราณ ที่พบได้ในซอยนี้
ไม่ว่าพื้นที่หน้าบ้านจะน้อยนิดแค่ไหน ชาวญี่ปุ่นก็สามารถออกแบบให้สวยงามลงตัวได้
อ้าว...เนียน
เณรน้อยถือป้ายอะไร อ่านไม่รู้เรื่องเลย รู้แต่ว่า...น่ารัก

เมื่อเดินมาจนสุดทาง แล้วมองย้อนกลับไปจึงเห็นภาพนี้
 จากจุดนี้ เราก็จะเดินต่อไปยังวัดโคไดจิ  (Kodaiji Temple) อนุสรณ์สถานของบุคคลสำคัญในประวัติศาตร์ของญี่ปุ่นนาม Toyotomi Hideyoshi สร้างโดยภรรยาของเค้าเอง ดังนั้นจึงมีรูปแกะสลักไม้ของคนทั้งสองประดิษฐานอยู่ในวัดนี้ด้วย ความโดดเด่นอื่น ๆ ก็คือ สวนหินที่จัดไว้เสมือนหนึ่งเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่และสวนญี่ปุ่นในสไตล์ซึกิยาม่า (Tsukiyama style garden) ค่าเข้าชม 600 yen เปิดตั้งแต่ 9.00 - 17.30 น.ค่ะ
วัดโคไดจิ (Kodaiji Temple)
ว่าแล้วเดินดูบรรยากาศรอบ ๆ วัดโคไดจิ ที่แวดล้อมด้วยสวนญี่ปุ่นและสวนหินที่ร่ำลือ
ส่วนนี้จะอยู่บริเวณทางเข้า
สวนญี่ปุ่น

หินกรวดเล็ก ๆ ที่เปรียบเหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านโขดหิน

นี่ล่ะ ลานหินกรวดที่แสดงถึงมหาสมุทรกว้างใหญ่ ที่ถาโถมมานั่น...ใช่สึนามิรึเปล่า?
นักท่องเที่ยวนั่งดูวิวจากศาลาใหญ่ของวัดที่เรียกว่า โฮโจ (Hojo)
เลี้ยวมาอีกด้านหนึ่งของ Hojo
ภาพ Hojo หากมองจากภาคพื้นดิน (เพียงเดินลงกระไดมา)
สวนสไตล์ Tsukiyama จะต้องมีเนินเขาที่ก่อขึ้นมาเอง บ่อน้ำ และก้อนหินประดับประดา
สวนนี้สวยทั้งในฤดูใบไม้ร่วง และฤดูใบไม้ผลิ (ต้องรอเก็บตังค์มาดูอีกรอบล่ะสิเนี่ย)

สามารถเดินขึ้นเขาไปได้อีก

เดินทะลุกำแพงมาแล้ว
มีส่วนที่จัดแสดงบ้านญี่ปุ่นโบราณ
ใช่ห้องครัวรึเปล่า
หลังบ้าน

ซอยเชื่อมต่อไปยังย่านกิออน (Gion) ลองเลี้ยวเข้าไปดูกัน

แนวบ้านโบราณ รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเห็นภาพโปรโมทแบบนี้ที่ Kansai Airport ด้วย
ถนนสายนี้มีร้านอาหารญี่ปุ่นเยอะแยะไปหมด ไม่ได้เข้าไปชิม ได้แต่เดินดูหน้าร้านไปเรื่อย ๆ เพราะ Budget ในกระเป๋ามีจำกัด ฮี่ ๆ
ไอเดียตกแต่งหน้าบ้านเก๋ ๆ อีกแล้ว
จุ๋มจิ๋มน่ารักจังเลย...ขออยู่ด้วยได้ไหม
ออกมาที่ถนนใหญ่ ก็ได้เจอสาวไมโกะอีกแล้ว

คุณพี่ท่านนี้ ตวัดพู่กันสร้างสรรค์งานศิลปะอยู่ริมถนน

หลังจากเดินลดเลี้ยวไปมาอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเราก็มาทะลุที่หน้าศาลเจ้ายาสะกะ (Yasaka Shrine)
ศาลเจ้ายาสะกะ มีฉายาเรียกอีกอย่างว่า กิออน ซัง (Gion San) เพราะ อยู่ในย่านกิออน เป็นศาลเจ้าที่โด่งดังที่สุดในเกียวโต สร้างขึ้นมานานกว่า 1,350 แล้ว...อู่หู้!!!

ความโดดเด่นของศาลเจ้ายาสะกะคือ โคมไฟจำนวนมากที่แขวนอยู่รอบศาลเจ้าซึ่งมาจากเหล่าผู้บริจาคนั่นเอง
โคมไฟจารึกชื่อผู้บริจาคเอาไว้
หลังศาลเจ้ายาสะกะ คือ สวนสาธารณะประจำเมืองเกียวโต ชื่อว่า สวนมารุยามะ (Maruyama Park)
บรรยากาศในสวนมารุยามะ
รูปปั้นบุคคลสำคัญ 2 ท่าน ได้แก่ ซากาโมโต เรียวมะ (Sakamoto Ryoma) และ นากะโอกะ ชินทาโร่ (Nagaoka Shintaro) พี่น้องร่วมสาบานของเค้า

ใบไม้เปลี่ยนสีภายในสวนมารุยามะ

สบายเลยนะเราเจ้าเป็ดเกียวโต
เดินถัดจากสวนมารุยามะมาอีกหน่อย ยังมีวัดที่น่าสนใจอีกวัดนึง คือ วัดจิออนอิน (Chion-in Temple) ความสำคัญ ค่าเข้าชม 500 yen เปิดตั้งแต่ 9.00 – 16.30 น. นอกจากนี้วัดนี้ยังมีสวนญี่ปุ่นสุดสวย ที่ชื่อว่า สวนโฮโจ และ สวนยูเซน (Hojo & Yuzen Garden) ซึ่งจะต้องเสียค่าเข้าชมแยกต่างหาก และในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ยังมีการ light up ในตอนกลางคืนด้วย
ประตูทางเข้ายิ่งใหญ่มากค่ะ
กระถางธูปก็ใหญ่
ใบไม้เปลี่ยนสีภายในวัดจิออนอิน (Chion-in Temple)
ถัดจากลานกว้างในชั้นแรก ยังมีบันไดขึ้นสู่เนินเขาต่อไปอีก
บริเวณวัดจิออนอิน (Chionin Temple) บนเนินเขาชั้นที่สอง
สุสานในวัดจิออนอิ

ขากลับ เจอน้องหมามาเป็นเพื่อนกับคุณยาย...หน้าเหมือนใน poster เลย

สุดท้ายสำหรับวันนี้ มาหาข้าวเย็นกินแถวสถานีเกียวโต พบกับสาวเกอิชาที่สวยที่สุดเท่าที่ได้เจอมา มีสายสะพายด้วย คงจะเป็น Miss อะไรซักอย่าง
คืนนี้ หอคอยเกียวโต light up เป็นสีม่วง แปลกตาไปอีกแบบ
พรุ่งนี้ จะเป็นวันที่ต้องอำลาเกียวโตแล้วสินะ เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ...

No comments:

Post a Comment