เช้าวันนี้ขอเปลี่ยนโหมดนิดนึง หลังจากตระเวนเที่ยววัดและศาลเจ้ากันมาหลายวัน จนชักจะสับสนว่า เอ๊ะ! เรากำลังมาทำบุญเก้าวัดกันอยู่รึเปล่า??
สถานที่แรกในวันนี้ เป็น Theme Park ที่อยู่ในย่าน Uzumasa ของเกียวโต มีชื่อว่า Toei Uzumasa Movie Land หรือชื่อญี่ปุ่นว่า Uzumasa Eigamura (ถ้าพูด Keyword คำนี้ออกไปล่ะก็ ชาวเกียวโตจะต้องร้องอ๋อ และชี้ทางคุณ ๆ มาได้ไม่มีหลง)เจ้าของ คือ บริษัท Toei Co., Ltd. บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรายการทีวี และภาพยนตร์ของญี่ปุ่น
ดูจากชื่อแล้ว พอจะเดาทางออกแล้วใช่มั้ยคะ ว่า Theme ของเค้าคืออะไร?
ถ้ามาที่ Theme park แห่งนี้ คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศในยุคเอโดะ (ยุคที่มีซามูไรและท่านโชกุน) ยุคโชวะ
(ยุคที่คาบเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งสงครามสิ้นสุด). หลุดเข้าไปในโลกของยอดมนุษย์และเหล่าการ์ตูนญี่ปุ่นที่คุณชื่นชอบ และก็ได้เรียนรู้เบื้องหลังการถ่ายทำหนังซามูไรด้วย
นอกจากนี้ บางส่วนของพื้นที่ ยังคงใช้เป็นโรงถ่ายหนังจริง ๆ อย่าเผลอเดินเข้าไปล่ะค่ะ เดี๋ยวโดนจับไป casting เป็นดาราญี่ปุ่นไม่รู้ตัว
จากสถานีเกียวโต นั่งรถไฟ JR สาย Sagano Line ลงที่สถานี Uzumasa ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้นเองค่ะ จากนั้นก็เดินต่ออีกราว ๆ 15 นาที (อย่าลืม Keyword ที่ให้ไปนะคะ รับรองไม่หลงค่า) ค่าบัตรผ่านประตูสำหรับ Toei Uzumasa Movie Land คือ 2,200 yen เวลาทำการจะแบ่งออกเป็นดังนี้ค่ะ
ช่วงเดือนมีนาคม ถึง เดือน พฤศจิกายน เปิดตั้งแต่ 9.00 – 17.00
ช่วงเดือนธันวาคม ถึงเดือน กุมภาพันธ์ เปิดตั้งแต่ 9.30 – 16.00
Toei Uzumasa Movie Land |
ถึงประตูทางเข้าแล้ว |
ร้านรวงต่าง ๆ ในสมัยเอโดะ |
สภาพตรอกซอกซอย |
โพเซดอน รัชดาฯ เอ๊ย! หอนางโลม นางคณิกา...แล้วแต่จะเรียก |
เกี้ยว...พาหนะสำหรับเดินทาง ไม่กล้าลองนั่ง เดี๋ยวขาเกี้ยวหัก ไม่มีตังค์ชดใช้ |
บัลลังก์ท่านโชกุนโทกุกาวะ (Tokugawa) |
โอ้ว...เจอท่านซามูไรหน้ามนเข้าแล้ว! |
ท่านซากะโมโต เรียวมะ รึเปล่า |
ท่านซากะโมโต เรียวมะ ตัวจริง เสียงจริง (ภาพจาก Wikipedia) |
บ้านชาวญี่ปุ่นในยุคโชวะ |
ร้านค้า |
การคมนาคม |
สุดท้าย มี show ให้ดูด้วย แล้วแต่โปรแกรมของวันนั้น ๆ ว่าจะเป็น show นินจา หรือ ซามูไร จัดแสดงในส่วนที่เรียกว่า Nakamuraza Theater แต่ห้ามบันทึกภาพขณะมีการแสดง (เดี๋ยวเพื่อน ๆ จะรู้มุขกันหมด) จึงได้มาแต่บรรยากาศกับโฉมหน้านักแสดงบางส่วนนะคะ นอกจากจะได้ตื่นเต้นกับวิทยายุทธ์อันสูงส่งแล้ว บอกได้อีกคำว่า ฮา.....
Nakamuraza Theater |
โฉมหน้านักแสดง |
เป็นรูปดาบซามูไรด้วย...กินไม่ระวัง ลิ้นจะขาดมั้ยเนี่ย |
ระหว่างทาง พบสวนหน้าบ้านชาวญี่ปุ่นน่ารัก ๆ อีกแล้ว
มีใบไม้แดงต้นเล็ก ๆ จุ๋มจิ๋ม ๆ ....กรี๊ดสสสส์ |
มีรถไฟท้องถิ่นแล่นผ่าน หอบเอาสายลมเย็นแห่งฤดูใบไม้ร่วงมาปะทะหน้า... เคลิ้มเหมือนอยู่ในหนังรัก Romantic ที่มีพระเอกเป็นนักเรียนไฮสคูล ...ครุคริ |
คุรามะ คือ เขตชนบทที่อยู่ทางด้านเหนือของเกียวโต ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง สถานที่ท่องเที่ยวได้แก่ออนเซ็นและวัด คุรามะ-เดระ (Kurama-dera) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา ใช้เวลาเดินจากประตูใหญ่ที่ตีนเขาจนถึงยอดเขาใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที แต่ถึงกระนั้น ทางวัดก็มี Cablecar ไว้อำนวยความสะดวกค่ะ
สามารถเดินทางจากเกียวโตไปยังคุรามะ โดยใช้รถไฟท้องถิ่น สาย Eizan railway ค่ะ ระหว่างเส้นทางที่ไปยังคุรามะ ความพิเศษคือ อุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีช่วงสั้น ๆ ที่คร่อมบนเส้นทางรถไฟ ถึงกับมีการจัดรถไฟขบวนพิเศษที่ออกแบบหน้าต่างให้กว้างเป็นพิเศษเพื่อดูความสวยงามกันชัด ๆ และมี light up ตอนกลางคืนด้วย
ภาพทิวทัศน์ที่มองเห็นจากหน้าต่างรถไฟ |
ทิวเขาอีกด้านนึงขณะที่รถไฟกำลังแล่นผ่าน |
ช่วงที่รถไฟแล่นผ่านอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสี |
ทิวเขาบริเวณสถานีคุรามะ |
เทนกุ (Tengu) ปีศาจในตำนานที่เชื่อกันว่าสามารถเรียกพายุได้ สัญลักษณ์ประจำสถานีคุรามะ |
ผ่านมาเจอพ่อค้าปลาปิ้งยิ้มแฉ่งให้ |
ต้องมนต์เสน่ห์รอยยิ้มพ่อค้า ถึงกับต้องซื้อปลามาไม้นึง...500 yen หรือ...150 บาท …หลวมตัวไปได้ไงเนี่ย -__- |
หน้าประตูวัดคุรามะเดระ (Kurama-dera) |
วัดคุรามะมีค่าเข้าชม 200 yen เปิดตั้งแต่ 9.00 – 16.00 น. ค่ะ
เดินเลยไปอีกนิดพบภาพนูนสูงหลวงเณรน้อยเรียกรอยยิ้ม |
นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ตัววัดจริง ๆ นั้นอยู่บนภูเขาโน่นนนนน ดังนั้น ขาขึ้นเราจึงตกลงใจที่จะออมแรงด้วยการขึ้น Cablecar สนนราคาเที่ยวละ 200 yen
ตั๋วขึ้น Cablecar ลักษณะเหมือนใบเสมาธรรมจักร |
Cablecar มีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ |
จากนั้นจึงเดินขึ้นเขาชมทิวทัศน์ไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ต้นสูงใหญ่
เขียวครึ้มไปหมดแบบนี้ล่ะค่ะ |
เมื่อใกล้ถึงยอดเขา ก็ได้เห็นใบไม้แดงอีกครั้ง |
ถึงบ่อล้างมือแล้ว แสดงว่า ตัววัดคงจะตั้งอยู่ไม่ไกล |
และในที่สุดก็ถึงศาลาที่มีหลวงพ่อประดิษฐานอยู่ |
ควันธูปอบอวลชวนให้นึกถึงอุ่นไอของพระพุทธศาสนา แต่ทว่าอากาศเย็น...เยือก |
มีรูปของ เทนกุ (Tengu) บนผนังไม้ด้านนึงด้วย |
มุมนึงจากจุดชมวิว |
จริง ๆ ยังสามารถขึ้นไปได้สูงกว่านี้อีก แต่บ่ายสามกว่าแล้ว เลยกลับดีกว่า ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน
ระหว่างทางเจอต้นไม่ใหญ่มากกกกก ไม่รู้ว่าอายุกี่ร้อยปี |
มีเชือกเส้นใหญ่พันอยู่ บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ |
เมื่อออกมาจากวัดคุรามะ จะพบทางแยกไปออนเซ็น (Onsen) ตอนแรกก็มีอยู่ในโปรแกรมเหมือนกัน แต่พอเอาเข้าจริง...ใจไม่ถึง แหะ ๆ |
ขากลับได้นั่งรถไฟขบวนพิเศษ สีหวานจ๋อย |
ดูจากผู้โดยสาร อายุรวมกันคงได้ราว ๆ 5,000 ปี |
ทุกคนหาทำเลเหมาะ ๆ เพี่อรอชม highlight ของงาน คือ ช่วงเวลาที่รถไฟแล่นผ่านอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีที่ light up ในเวลากลางคืน พอใกล้จะถึง ไฟจะดับทั้งขบวนเพื่อให้มองเห็นใบไม้ที่ถูก light up ได้อย่างชัดเจน ถึงจุดนี้ คุณปู่คุณย่ากรี๊ดกร๊าดกันใหญ่เลย ...ต้องขออภัยที่ไม่มีภาพมาฝาก เพราะคิดว่าคงจับภาพไม่ทัน ก็เลยขอดื่มด่ำแสงสีไปกับคุณปู่คุณย่าเงียบ ๆ ก็แล้วกัน ^_^
ระหว่างทางกลับ แวะเข้าไปกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารร้านนึง รู้สึกประทับใจ เพราะได้ฟิวบ้าน ๆ เหมือนร้านตามสั่งบ้านเรา ไม่เหมือนร้านอาหารตามห้างสรรพสินค้าที่ “เป๊ะ” ไปทุกกระเบียด
ร้านที่ว่า ก็คือร้านนี้แหละค่ะ |
พอไปถึง คุณลุงเจ้าของร้านรีบโหวกเหวก “Japanese Only! Japanese Only! No English! No English!”
แกบอกว่า “No English” แต่แกกำลังพูดอังกฤษใส่แฮะเรามีรึจะถอย ยังคงดื้อดึงจะกินข้าวร้านแกให้ได้ บุ้ยใบ้กะแกว่า เราจะสั่งอาหารตามตัวอย่างในตู้หน้าร้านลุงนี่แหละ สุดท้ายแกก็ยอม พวกเราจึงไปนั่งข้างใน
บรรยากาศข้างในก็ประมาณนี้ค่ะ คิดว่าช่วง prime time คงจะคึกคักไม่ใช่เล่น |
นี่คือข้าวหน้าเนื้อฝีมือแกค่ะ อร่อยทีเดียวเลยล่ะ |
พี่คะ หนูขออนุญาตใช้รูปพี่ในบล๊อกไปเขียนบทความได้ไหมคะ หนูจะลงเครดิตให้บล๊อกพี่ด้วยค่ะ
ReplyDelete