ออกจากตลาดสดนิชิกิ ก็ขึ้นรถเมล์สาย 5 จากถนนชิโจ (Shijo) มุ่งหน้าสู่เขตกินคะคุจิ (Ginkakuji Area) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเกียวโตที่เลื่องชื่อในเรื่องความสวยงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี โดยจะหาดูได้จากสวนญี่ปุ่นในวัดต่าง ๆ ที่เรียงรายกันอยู่ตามเนินเขาที่ชื่อว่า ฮิกาชิยามะ (Higashiyama)
กางตำราภาษาญี่ปุ่นสำหรับผู้เริ่มต้น ...ยามะ แปลว่า ภูเขา....
ว่าแล้วก็ลงรถที่ป้าย Shugakuin michi เป้าหมายคือวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่ว่ากันว่า มีต้นไม้เปลี่ยนสีที่สีสันฉูดฉาดบาดตานัก วัดนั้นมีชื่อว่า วัดเอ็งโคจิ (Enkoji)
|
ก่อนจะถึงตัววัด ก็ต้องเดินขึ้นเนินกันไปแบบนี้ค่ะ |
|
ได้ยลบ้านชาวญี่ปุ่นแบบใกล้ชิด |
|
บ้านนี้มีที่เก็บจักรยานเท่ ๆ แถมด้วยต้นไม้เล็ก ๆ ที่กำลังเปลี่ยนสีอยู่หน้าบ้าน...ติสอ่ะ |
|
เจ้าของบ้านนี้จะต้องเป็นยอดมนุษย์แน่ ๆ |
เมื่อเดินลัดเลาะไปได้ซักพัก ก็ถึงที่หมาย
|
บริเวณหน้าวัดเอ็งโคจิ (Enkoji) |
วัดนี้ เปิดตั้งแต่ 9.00 - 16.30 น. ค่าเข้าชม 400 yen ค่ะ เข้าไปดูข้างในกันเลยดีกว่า
|
ดอกเบญจมาศดอกโต บริเวณจุดชำระค่าผ่านประตู |
|
สวนในวัดเอ็งโคจิเมื่อมองผ่านจากหน้าต่าง |
|
ออร์เดิร์ฟ เล็ก ๆ ก่อนเข้าสู่บริเวณสวนด้านใน |
|
ทางวัดมีศาลาให้สำหรับนั่งชมใบไม้เปลี่ยนสี... ภาพเบื้องหน้าเป็นยังไงน๊า ถ่ายรูปกันใหญ่เลย |
|
มุมนี้และคร๊าบ highlight ของงาน ถ่ายจากศาลาที่วัดจัดไว้ |
|
มุมจากเนินเขาหลังวัด ที่จะมองเห็นสวนของวัดเอ็งโคจิพร้อมกับทิวทัศน์เมืองเกียวโต |
|
ใบไม้เปลี่ยนสีทั้งภูเขาเลย |
ถัดจากวัดเอ็งโคจิ เราจะไปยังวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังม๊ากมาก ในแถบเทือกเขาฮิกาชิยามะ (Higashiyama) แห่งนี้
วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) หรือ ที่คนไทยเรียกกันว่า วัดพลับพลาเงิน วัดนี้ตอนแรกตั้งใจจะสร้างขึ้นแล้วหุ้มด้วยเงินทั้งหลังให้เป็นวัดคู่กันกับวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji) หรือวัดทองซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองเกียวโต แต่จนแล้วจนรอดก็สร้างไม่สำเร็จ เพราะท่านโชกุน Ashikaga Yoshimasa ท่านผู้อำนวยการสร้างได้เสียชีวิตไปซะก่อน เราจึงได้เห็นแต่พลับพลาซึ่งเป็นสีน้ำตาลเข้มมาจนถึงทุกวันนี้
การเดินทางไปวัดกินคะคุจิ จาก วัดเอ็งโคจิ ยังคงอาศัยรถบัส สาย 5 สายเดิม จากป้าย Shugakuin michi ลงที่ป้าย Ginkakuji michi จากนั้นเดินไปตามฝูงชนผ่านเส้นทางที่เรียกว่า เส้นทางสายปรัชญา (Philosopher's Path)
|
Philosopher's Path
ตลอดสองข้างทางคือต้นซากุระ ถ้ามาในฤดูที่ซากุระบาน คงอลังการหน้าดู |
|
เดินมาจนสุดทาง พบน้องหมาแล้วอดไม่ด๊ายยย ขอสักแชะ! |
|
ปากทางเข้าวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji) และมหาชนชาวญี่ปุ่น |
วัดคินคะคุจิ เปิดตั้งแต่ 8.30-17.00 น. ค่าเข้าชม 500 yen
|
พลับพลาเงิน และสวนทรายที่โด่ดเด่นไม่เหมือนใคร |
|
สวนทรายในชื่อว่า "Sea of Silver Sand" |
สวนทรายขนาดใหญ่นี้ ถูกออกแบบให้สะท้อนแสงจันทร์ยามค่ำคืนเป็นสีเงินยวงไปทั้งผืน จึงได้อีกชื่อนึงว่า "Moon Viewing Platform"
|
มุมสูง |
|
พลับพลาเงิน |
|
สวนมอสในวัดคินคะคุจิ ของจริงสวยชุ่มฉ่ำกว่านี้ม๊ากกกก
ถ่ายเบลออ่าค่า...(-_-!) |
สถานีต่อไป...วัดเออิคังโดะ (Eikando Temple) ซึ่งเป็นอีกวัดนึงที่ตั้งอยู่ในแนวเขาฮิกาชิยามะ (Higashiyama) สำหรับวัดนี้ตั้งใจไปดู light up ยามค่ำคืน ค่าเข้าชม 600 yen (เวลาปกติคือ 9.00-17.00 น. ค่าเข้าชม 1,000 yen ค่ะ)
เรายังคงเกาะรถบัสสาย 5 เหมือนเดิม คราวนี้ ลงที่ป้าย Nanzenji-Eikando-michi
เนื่องจากข้อจำกัดในความสามารถคนถ่าย (เดี๊ยนเองเจ้าค่ะ) จึงได้ภาพมาพอสังเขปดังนี้
|
ภาพนี้ชวนให้นึกถึงลวดลายสีสันบนชุดกิโมโน |
|
มีใบไม้ร่วงลงไปในบ่อ เหมือนลูกกวาดอยู่ในน้ำ |
|
มีการบรรเลงดนตรียามค่ำคืนด้วยค่ะ เสียงเครื่องเป่าวังเวงเหวงโหวงตามสไตล์ญี่ปุ่น |
เมื่อตกดึก อากาศยิ่งหนาวเย็น ดังนั้น ดิฉันและชาวคณะจึงขอจบการเดินทางในวันที่ 4 ที่วัด Eikando แห่งนี้ค่า....
No comments:
Post a Comment