Friday, December 30, 2011

ยื่นวีซ่าไม่ผ่าน ทำยังไงดี?

ดิฉันเป็นอีกคนนึง ที่เคยมีประสบการณ์ยื่นวีซ่าไม่ผ่านกะเค้าเหมือนกัน ความรู้สึกย่ำแย่ต่าง ๆ นานา สับสน ความฝันพังทลาย เหนื่อยใจ เอายังไงกับชีวิตดี?  จะยื่นอีกทีได้มั้ย? จะกลายเป็น Blacklist ติดตัวไปจนตายรึเปล่า? ดิฉันเข้าใจดีค่ะ
ดิฉันอยากจะบอกว่า ถ้าคุณอยากจะไปประเทศที่คุณใฝ่ฝันให้ได้จริง ๆ นะ อย่าท้อค่ะ ลองยื่นใหม่เถอะค่ะ เพราะสถานฑูตไม่มีกฎว่า “ห้ามยื่นวีซ่าใหม่ กรณียื่นแล้วไม่ผ่าน” หรือ “ถ้าจะยื่นวีซ่าได้อีกครั้ง ต้องอย่างน้อยกี่เดือนนับจากวันที่ถูกปฏิเสธ”
ถ้ายื่นใหม่ คุณก็จะมีโอกาสอีกครั้งตั้ง 50% เลยนะ เพราะคำตอบมันก็มีแค่ ผ่าน กับ ไม่ผ่าน
แต่ถ้าคุณถอดใจ โอกาสที่ความฝันของคุณจะเป็นจริงก็เป็น ศูนย์....
มีข้อแม้นิดเดียวว่า ก่อนยื่นใหม่ คุณต้องสำรวจให้ดี ๆ ว่า อะไรเป็นช่องโหว่ที่ทำให้คุณยื่นวีซ่าไม่ผ่าน แล้วคุณจะต้องอุดมันไว้ให้ได้
อยากจะขอเล่าเคสของตัวเอง ไว้เป็นกรณีศึกษาสำหรับคุณ ๆ ที่กำลังลุ้นวีซ่ากันอยู่ตอนนี้นะคะ
 
Background คร่าว ๆ นะคะ ดิฉัน สถานภาพโสด ไม่มีแฟน (ไม่ได้ตั้งใจเน้น แต่คิดว่าอาจจะมีผลกับการพิจารณาของเจ้าหน้าที่สถานฑูตนะ...ออกตัวไว้ก่อน อิอิ) เป็นลูกคนเดียว พ่อแม่เป็นข้าราชการบำนาญ ทำงานมา 7 ปี กำลังจะลาออกเพื่อไปเรียนภาษาที่ประเทศแคนาดาเป็นเวลา 1 ปี เป็นโครงการ Work & Study คือ เรียนภาษา 6 เดือนและก็เพิ่มพูนทักษะด้วยการทำงานอีก 6 เดือน ดิฉันสมัครผ่านทาง agent ในเมืองไทยค่ะ ในกรณีนี้ วีซ่าที่ดิฉันจะขอ apply ก็คือ Student Visa
เอกสารหลัก ๆ ที่ใช้ยื่นในตอนแรก ได้แก่
1.       Passport ซึ่งจะต้องไม่หมดอายุก่อนวันกลับประเทศไทย
2.       รูปถ่าย 4 ใบ ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน ขนาดและการเอียงคอ ต้อง “เป๊ะ” ตามที่สถานฑูตกำหนด ใครอยากไปแคนาดาสามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://www.cic.gc.ca/English/information/applications/photospecs.asp
3.       จดหมายตอบรับจากทางสถาบันการศึกษา
4.       หลักฐานการศึกษา เช่น Transcript, ใบประกาศนียบัตร ฯลฯ (คิดว่าคงไม่ดูเกรดนะ ไม่ต้องเขิน...)
5.       หลักฐานทางการเงิน ได้แก่ Bank letter, Bank statement และ Book bank ซึ่งจะต้องมีเงินมากพอที่จะครอบคลุมระยะเวลาทั้งหมดที่เราจะไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณี คือ ยื่นของตัวเอง หรือ ยื่นของ sponsor ซึ่งอาจจะเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือ สถาบันการศึกษาผู้ให้ทุน อะไรก็แล้วแต่ ...สำหรับดิฉัน เลือกที่จะยื่นด้วยตัวเองค่ะ ... แล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น
6.       หนังสือรับรองความประพฤติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (Police Clearance Certificate) สำหรับผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ขอได้ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ.พระราม 1 ตรงข้าม Central World ค่ะ
นอกนั้น คุณอาจจะยื่นเอกสารอะไรเพิ่มเติมก็สุดแล้วแต่ใจปรารถนา เช่น จดหมายรับรองจากที่ทำงาน ว่าคุณเป็นพนักงานจริง และจะกลับมาทำงานที่บริษัทหลังจากที่กลับมาแล้ว ทะเบียนสมรส หนังสือรับรองของบริษัทหากคุณมีกิจการเป็นของตัวเอง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมด ถ้ายื่นเป็นตัวจริงได้ก็ดี แต่ถ้าไม่สามารถจริง ๆ คุณอาจจะยื่นเป็นสำเนาที่เซ็นรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว แต่บอกไว้ก่อนว่า ทางเจ้าหน้าที่สถานฑูตอาจจะขอเรียกดูตัวจริงในภายหลัง
ถ้าคุณสมัครผ่าน Agent เค้าก็จะช่วยแนะนำให้คุณเป็น case by case ไป ว่าคุณควรจะยื่นเอกสารอะไรบ้าง จุดประสงค์หลักก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า คุณไม่มีเจตนาที่จะไปลงหลักปักฐาน หายตัวเป็นโรบินฮู้ด หรือไม่ยอมกลับบ้านเกิดเมืองนอน เป็นต้น เพราะคนส่วนใหญ่ที่ถูกปฏิเสธวีซ่า มักจะได้รับเหตุผลว่า “คุณไม่มีพันธะ หรือมีแรงจูงใจมากพอที่จะกลับประเทศของคุณ หลังจากที่คุณได้มาถึงแผ่นดินของเราแล้ว”
จากที่เล่ามาทั้งหมด จุดอ่อนของดิฉันก็คือ “ไม่พันธะผูกพันมากพอ” นี่แหละค่ะ เท่าที่ประมวลได้ก็คือ
1.       ดิฉันไม่มีลูก ไม่มีสามี ไม่มีคุณแฟน ไม่มีน้องหมาน้องแมว ให้ต้องเป็นห่วงกังวล หรืออีกนัยหนึ่ง อาจมีแนวโน้มที่จะพบรักกับหนุ่มคะเนเดี้ยนแล้วตั้งรกรากที่นั้น กริ๊ววววววว!!!! แต่ในเรื่องนี้ ดูเหมือนชายโสดจะไม่มีปัญหาเท่าหญิงโสดนะคะ แสดงว่า หญิงไทยมีเสน่ห์กว่าชายไทย 5555…ไร้สาระ! (-_-!)  (แต่เฮ้อ! จะให้เร่งหาแฟนตอนนี้ก็ไม่ทันซะแร้ว)
2.       พ่อแม่เป็นข้าราชการบำนาญ อาจจะมองว่า พวกท่านสามารถดูแล้วตัวเองได้ในระดับนึง
3.       ที่ทำงานไม่มีนโยบายให้พนักงานลางานยาวไป 1 ปี แล้วรับกลับเข้าทำงานใหม่ จึงไม่มีการการันตีว่าจะกลับมามีงานทำในประเทศ
4.       ดิฉันไม่มีกิจการของตัวเองที่ต้องกลับไปดูแล
5.       ดิฉันไม่ได้อยู่ในวัยเรียน ที่จะต้องกลับมาเข้าเรียนในสถานศึกษา
เป็นยังไงคะ และแล้วดิฉันก็ถูกปฎิเสธวีซ่าด้วยเหตุผลยอดฮิต! ไปตามระเบียบ

กรณีของสถานฑูตแคนาดา ในวันที่ไปฟังผล คุณจะมีโอกาสที่จะได้ยินคำตอบดังต่อไปนี้ค่ะ
1.       “เสียใจด้วยค่ะ คำขอยื่นวีซ่าของคุณไม่ผ่านนะคะ” แล้วเจ้าหน้าที่จะคืนเอกสารเกือบทั้งหมดที่คุณยื่นไป สำหรับดิฉัน สิ่งที่ไม่ได้คืนคือ Bank statement บางส่วน (ยื่นหลาย Bank น่ะค่ะ) และหนังสือรับรองความประพฤติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในตอน นั้น ดิฉันคิดว่าสีหน้าตัวเองเป็นปกติ แต่จิตใจลอยเคว้งคว้างไปไหนไม่รู้ค่ะ
2.       “ทางเราอยากจะขอสัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยนะคะ” ถ้าคุณเจอคำตอบนี้ คุณอาจจะได้สัมภาษณ์ในวันนั้นเลย (กรณีฟังผลด้วยตัวเอง) หรือ อาจจะนัดสัมภาษณ์ในอีก 1 วัน หรือ 1 สัปดาห์ หรือเคยได้ยินว่านานกว่านั้น คงขึ้นอยู่กับคิวว่างของเจ้าหน้าที่ด้วย กรณีนี้ เจ้าหน้าที่จะให้ใบนัดสัมภาษณ์มา ก็ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะถือว่าคุณเข้ารอบแล้วล่ะ เจ้าหน้าที่กำลังจะอนุมัติวีซ่าให้คุณอยู่แล้ว...เพียงแต่เค้าอาจจะมีข้อสงสัย...อีกนิดหน่อย สำหรับดิฉัน ถูกเรียกสัมภาษณ์ในการยื่นวีซ่าครั้งที่ 2 ค่ะ
3.       “ยินดีด้วยค่ะ วีซ่าคุณผ่านแล้วนะคะ” กรณีนี้ คุณบอกให้ทางบ้านจุดพลุฉลองชัยได้เลยค่ะ เจ้าหน้าที่จะคืนเอกสารของคุณมา ยกเว้น Passport เพื่อนำไปติดวีซ่า และให้หนังสือตรวจร่างกายมา เพื่อให้คุณไปตรวจร่างกายที่สถานพยาบาลตามที่สถานฑูตกำหนด สถานพยาบาลจะส่งผลตรวจไปที่ Visa office ในสิงคโปร์ และถ้าคุณไม่ป่วยไข้ เป็นโรคร้ายแรงอะไรล่ะก้อ เจ้าหน้าที่ก็จะโทรมาแจ้งให้คุณไปรับ Passport คืน ขั้นตอนนี้ โดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ค่ะ ได้ Passport แล้วอย่าลืมเช็คนะคะ ว่ามีวีซ่าเข้าประเทศแคนาดาแปะมาด้วยรึเปล่า??

เอาล่ะ กลับมา ณ จุดที่ถูกปฏิเสธวีซ่าอีกครั้งนึง
เพื่อแสดงให้เห็นว่า ดิฉันมีพันธะต้องกลับประเทศนะ คราวนี้ดิฉันจึงยื่นเอกสารเพิ่มเติมไปอีก 3 อย่าง
1.       ฉลากออมสิน แสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้ขนเงินทั้งหมดไปแคนาดานะ ยังเหลืออยู่ไว้ใช้ยามกลับมาเมืองไทยด้วย
2.       สำเนาโฉนดที่ดินซึ่งเป็นชื่อดิฉัน บ่งบอกว่าเรายังมีที่ดิน มีทรัพย์สมบัติที่ต้องกลับมาดูแล (ดิฉันใช้สำเนา เพราะทางบ้านเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเอกสาร) แต่ก็เป็นข้อดีอย่างนึง เผื่อเจ้าหน้าที่อยากเรียกดูตัวจริง ก็เท่ากับว่าดิฉันอาจจะถูกเรียกสัมภาษณ์ (ณ จุดนี้ อยากให้เรียกสัมภาษณ์มากกว่าปฏิเสธกลางอากาศนะ)
3.       จดหมายอธิบายความในใจ...อ่ะล้อเล่น จริง ๆ ก็คือ จดหมายที่บอกวัตถุประสงค์การเข้าประเทศของเราอย่างชัดเจนอีกครั้ง และก็อธิบายถึงเอกสารเพิ่มเติมแต่ละชิ้น รวมถึงยืนยันด้วยว่า ยังไงซะดิฉันก็ต้องกลับมาดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแน่นอน ไม่ทิ้งท่านไปตลอดกาลแน่ ๆ

ในที่สุด ผลออกมาว่าดิฉันถูกเรียกสัมภาษณ์ค่ะ ใจชื้นขึ้นมาหน่อยนึง เอาล่ะที่เหลือขึ้นอยู่กับการตอบคำถามของเราแล้วล่ะ

และจากคำถามของเจ้าหน้าที่ จึงทำให้พอเดาได้ว่า ทำไมเค้าถึงไม่ให้ผ่านในครั้งแรก
ประเด็นแรกคือ การยื่น statement ของเรานั่นเอง  คือว่า ทางเจ้าหน้าที่เค้าดูเงินใน statement แล้วเทียบกับเงินเดือนที่ได้ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ คือเค้าคำนวณดูแล้วไม่ว่ายังไง ภายใน 7 ปีก็ไม่น่าจะเก็บเงินได้เท่าที่แสดงใน statement เค้าจึงสงสัยในเรื่องที่มาของเงิน (ซึ่งจริง ๆ ได้เขียนอธิบายที่มาที่ไปของเงินไปตั้งแต่ตอนยื่นครั้งแรกแล้วว่า นอกจากเงินเก็บตัวเอง ก็ยังมีเงินสมทบที่คุณแม่ให้มาเพื่อการนี้อีกบางส่วน และโชว์ statement ทุก bank ที่มีอยู่ ว่ามีการโอนเงินมาจากบัญชีไหนบ้าง รวมถึงบัญชีของคุณแม่ด้วย) ส่วนเรื่องเงินเก็บก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะนอกจากเงินเดือน ก็ยังมีโบนัส (เพียงแต่ว่าไม่ได้แสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้อง) และก็เงินเก็บที่สะสมมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เป็นเด็ก (ไม่ใช่เพิ่งเริ่มเก็บเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา) แค่นั้นเอง
ดังนั้น ดิฉันคิดว่า ถ้าคนที่ทำงานใหม่ ๆ แล้วจะไปเมืองนอก ให้พ่อแม่เป็น sponsor ไปเลย อาจจะผ่านได้ง่ายกว่า
 
และประเด็นที่สอง การยื่นทรัพย์สินให้เห็นว่ายังมีเหลืออยู่ ไม่ได้ใช้เอาไปเมืองนอกทั้งหมด ก็น่าจะช่วยเบนประเด็นที่อาจทำให้เจ้าหน้าที่คิดว่าเรายอมทุ่มเงินทั้งหมดที่มีเพื่อไปตั้งรกรากที่นั่น
เวลาสัมภาษณ์ เจ้าหน้าที่เค้าก็อาจจะเก็กขรึมให้น่าเกรงขามไปตามหน้าที่ ฉะนั้น จงอย่าเอามาเป็นอารมณ์ มั่นใจในตัวเอง และตอบตามความจริง (แต่ถ้าเป็นความจริงที่อาจจุดประเด็นขึ้นได้ ก็เลี่ยง ๆ ไว้อย่าไปเอ่ยถึง...ฮี่ ๆ) หลีกเลี่ยงการโกหก เพราะลิ้นมันจะพันกัน สุดท้ายจะงงตัวเอง แล้วก็...ตกรอบ
ในที่สุด ดิฉันก็ได้มาเหยียบแผ่นดินแคนาดาสมใจหวัง มาเจอเพื่อน ๆ คนไทยที่นี่ ก็มีหลายคนที่ยื่นวีซ่าหลายรอบเหมือนกัน ดังนั้น ยื่นวีซ่าไม่ผ่านเป็นเรื่องธรรมดา ค่อย ๆ หาสาเหตุ ตอบโจทย์ให้ดี ๆ แล้วลองยื่นใหม่อีกครั้ง ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ ^_^ 
 
 
 
 
 
 
 

Monday, November 21, 2011

Day 7: Kyoto..แม่น้ำชิรากาว่า (Shirakawa) ย่านกิออน (Gion)

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่ในเกียวโต ช่วงเช้ายังว่างอยู่จึงขอออกไปเดินทอดน่องเป็นการทิ้งทวนซะหน่อย บริเวณที่เราจะไปเดินเล่นนั้นคือแถวแม่น้ำชิรากาว่าในย่านกิออน ย่านที่เต็มไปด้วยร้านอาหารเลิศหรูและสีสันที่ดึงดูดใจยามค่ำคืน...แต่เมื่อพลาดไม่ได้ไปย่างกรายในยามค่ำ ถึงขอแก้ตัวในยามเช้าแทนก็แล้วกัน ฮี่ ๆ
เราตั้งต้นที่ ถนนคาวาบาตะ (Kawabata street) ซึ่งเป็นถนนที่เลาะเลียบแม่น้ำคาโม (Kamogawa river) แม่น้ำชิรากาว่า เป็นแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่แยกออกมาจากแม่น้ำคาโมนั่นเอง
ประเดิมด้วยรอยยิ้มที่สดใสยามเช้าของหญิงสาวในชุดยูกาตะ
แม่น้ำชิรากาว่า (Shiragawa)
เดินไปสักพักพบหินก้อนหนึ่งเขียนโคลงไว้โดยกวีท่านหนึ่งผู้ซึ่งหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของกิออน นาม Isamu Yoshii
อยากรู้ว่าอะไรคือมนต์เสน่ห์ของกิออน และเหตุใดจึงต้องมีอนุสรณ์เป็นโคลงกลอนอยู่ริมแม่น้ำ ดูได้จากคำอธิบายนี้


โค้งน้ำตรงสะพานที่ชื่อว่า Tatsumi-bashi

บรรยากาศยามเช้าแสนสงบเงียบ มีนกมายืนรอดักปลา แม้ว่าจะเป็นย่านใจกลางเมือง
กำแพงไม้ไผ่ที่ดัดโค้ง เป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะในเกียวโตเท่านั้น (มีสาวสวยมาขโมยซีน ^_^)
ต่อมาเป็นย่านถนนชิโจ (Shijo Street) กำแพงโค้งยังมีให้เห็น (ขออีกที แจ่ม ๆ)
มีอาคารเก่าที่ถูกอนุรักษ์ไว้จำนวนมาก
นี่อีก...ตึกเก่าทรงคลาสสิก
Gion Corner สถานที่ฝึกหัดศิลปะต่าง ๆ ทั้งร้อง เล่น เต้น รำ สำหรับเกอิชา

Minamiza Theater…ถ้าใครอยากดูละครคาบูกิ (Kabuki) หาดูได้ที่นี่ค่ะ
ละครคาบูกิ คือ ศิลปะการแสดงอย่างนึงของญี่ปุ่น ผู้แสดงจะเป็นผู้ชายทั้งหมด ถึงแม้จะต้องเล่นเป็นตัวละครหญิงก็ตาม นักแสดงจะทาหน้าสีขาวและวาดลวดลายต่าง ๆ ตามบทบาทของตัวละครนั้น ลีลาการแสดงจะชัดเจน ทั้งชดช้อย ขึงขัง โศกเศร้า หรือคุ้มคลั่ง หากบรรยายไม่เห็นภาพ แนะนำให้ลองหาดูใน Youtube นะคะ ละครคาบูกิสมัยใหม่ ผสมแสงสีเสียง ดูขลัง อลังการดี มีช็อตเด็ด ๆ แบบว่า เปลี่ยนชุดกิโมโนได้ภายในพริบตา...ทำได้ไงก็ไม่รู้
แวะเข้าไปดูวัดเคนนินจิ (Kenninji Temple) เป็นวัดเซนที่เก่าแกที่สุดในญี่ปุ่น
อาคารไม้หลังใหญ่
ไปเที่ยวมาก็หลายวัด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนักบวชนิกายเซน
และแล้วก็ถึงคราวที่จะต้องจากลาเมืองเกียวโตจริง ๆ ...ลึก ๆ ก็แอบเหงาหงอยอยู่ไม่น้อยเลย หลังจากเช็คเอ้าท์จากโรงแรม เราก็มุ่งหน้าสู่สถานีเกียวโต เพื่อนั่งรถไฟสู่ Kansai Airport ใช้เวลาประมาณ 77 นาที
บ๊าย บาย ชาวเกียวโต
มุมนึงของ Kansai Airport
ภาพสุดท้าย ก่อนกลับเมืองไทย...ไว้เจอกันใหม่น๊า...เกียวโต...