Sunday, August 7, 2011

Day 2: Kyoto..วัดคินคะคุจิ วัดเรียวอันจิ (บ่าย)

ตอนแรกวางแผนว่าจะนั่งรถเมล์จาก อาราชิยาม่า ไป วัดคินคะคุจิ แต่ว่าด้วยความที่วันสุดสัปดาห์ ถนนจะถูกปิดเพื่อใช้เป็นถนนคนเดิน เราจึงต้องนั่งรถไฟท้องถิ่นกันออกมาก่อนแล้วจึงค่อยต่อรถเมล์กันอีกเล็กน้อย ในที่สุดก็ได้ใช้ บัตร Kyoto City Buses 1 day pass สมใจ
รถเมล์ในเกียวโตก็ แน่นบ้าง โล่งบ้าง ส่วนการจราจรก็มีติดขัดบ้างเหมือนกัน จะว่าไปก็...น้อง ๆ กรุงเทพนิดหน่อยค่ะ
เรานั่งรถเมล์สาย 205 มาลงที่ป้าย Kinkakuji-michi จากนั้นเดินตรงขึ้นเนินมาอีกหน่อย ไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงทางเข้าวัดทองคินคะคุจิแล้วล่ะค่ะ วัดนี้จะเปิดตั้งแต่ 9.00-17.00 ค่าเข้าชม 400 yen
เมื่อเดินเข้ามาในเขตวัด ก็ได้รับการทักทายจากใบไม้เปลี่ยนสี

เดินผ่านบรรยากาศร่มเย็นของแมกไม้ เอ๊ะนั่น! หออะไรน่ะ?
เป็นหอระฆัง ที่เรียกว่า "โชโร"

และแล้วก็ถึง highlight ของงาน...ศาลาทองริมสระน้ำ
เห็นมุมนี้ คุ้น ๆ กันแล้วใช่ม้า เป็นมุมคลาสสิก ที่ใครมาถึงก็ต้องถ่ายรูปจากจุดนี้ ช่วงเวลาที่ไปถึงคือราว ๆ บ่ายสามโมง เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์ตกกระทบผนังด้านนึงของตัวศาลาเต็ม ๆ ภาพศาลาสีทองที่เรืองรองสะท้อนอยู่บนผิวน้ำเขียวขจี ท่ามกลางหมู่แมกไม้...โอ ฝันไปรึเปล่าเนี่ย

เพ้อเจ้อกันไปพอสมควร...ย้อนกลับมาดูประวัติศาสตร์ซักเล็กน้อย วัดทองคินคะคุจิ (Kinkakuji) นี้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของท่านโชกุน อะชิคางะ โยชิมิสึ (Ashikaga Yoshimitsu) ผู้ซึ่งเป็นคู่ปรับของอิคคิวซังตามท้องเรื่องนั่นเอง
วัดนี้เดิมทีชื่อวัดโรคุอนจิ (Rokuonji) เคยถูกเผาทำลายมาก็หลายครั้ง ทั้งจากสงครามกลางเมือง และฝีมือพระสงฆ์ในวัดเอง ว่ากันว่า พระสงฆ์รูปนั้นเสียสติและต้องการจะให้ตัวเองมอดไหม้ไปพร้อมกับวัดแห่งนี้ สุดท้ายแล้ว ในปี 1955 วัดคินคะคุจิก็ได้รับการบูรณะให้สวยงามและมีรูปลักษณ์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
มุมด้านหลัง ในฤดูใบไม้ร่วง
ทองอร่าม...ชักจะแสบตา
ภาพสุดท้าย ก่อนจากกัน...วัดทองคินคะคุจิ
ด้านหลังของวัดคินคะคุจิ ยังมีสวนป่าบนเนินเขาให้เดินชมธรรมชาติกัน ต้นไม้อุดมสมบูรณ์ รักษาไว้อย่างดีเหมือนเมื่อร้อยกว่าปีก่อน (เค้าว่ามาหยั่งงี้น่ะค่ะ)

นี่เลย...ท้าทายความแม่นยำกันอีกแล้ว
เห็นใบไม้แดงเป็นไม่ได้ ต้องขอซัก แชะ!
มีร้านน้ำชา ให้พักชื่นชมบรรยากาศ
มีศาลเจ้า ให้กราบไหว้ขอพร
ถ้าเสี่ยงเซียมซีไม่ได้ดั่งใจ ก็ผูกทิ้งไว้ตรงนี้
ทางออกของวัดคินคะคุจิ
ถ้ดจากวัดคินคะคุจิ เราก็เดินทางสู่สถานที่ถัดไป คือ วัดเรียวอันจิ (Ryoanji) ตอนแรกกะว่าจะนั่งรถเมล์ แต่ว่ารอรถนานเหลือเกิน ก็เลยเลือกที่จะเดินดีกว่า
สองวัดนี้อยู่บนถนนเส้นเดียวกัน ใช้เวลาเดินถึงกันก็ราว ๆ 15-20 นาที
สำหรับวัดเรียวอันจิ มีค่าเข้าชม 500 yen เปิดตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. (แต่ถ้าเป็นช่วงเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ จะเปิดตั้งแต่ 8.30-16.30 น.) ตอนนี้ออกจากวัดคินคะคุจิมาเวลาบ่ายสี่โมงกว่า ๆ ...ต้องทำเวลากันอีกแล้ว...
ท่านไดเมียว ตระกูลไหนกันล่ะเนี่ย
บางส่วนของเส้นทางจากวัดคินคะคุจิถึงวัดเรียวอันจิ
วัดเรียวอันจิเป็นวัดนิกายเซน ที่มีสวนหินอันโด่งดัง เป็นการจัดวางกลุ่มทั้งหมดหิน 15 ก้อน ตามจุดต่าง ๆ บนพื้นกรวดที่ถูกคราดไว้เป็นลายเส้น ว่ากันว่า ไม่ว่าจะมองจากจุดใด จะต้องมีหินอย่างน้อยหนึ่งก้อนที่ถูกบดบังจากสายตา ส่วนความหมายของการจัดวางนั้น ไม่มีใครทราบแน่ชัด ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคล....แหม่ ล้ำลึก
16.40 น. ในที่สุดก็มาถึงจนได้ ว่าแล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปในอาราม
เอ๊ะ! คุณลุงกำลังทำอะไร ?

โอ้โห !?!

มุมนี้แน่เลย
เมื่อหันมามองอีกด้านนึง
จากตอนแรกที่เฉย ๆ กับสวนหิน แต่พอมาเจอพลังของคนที่ดื่มด่ำกับมันแล้ว ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป...
เสียดายที่มาช้าไปหน่อย ไม่งั้นอาจจะได้อยู่กับตัวเองและสวนหินมากกว่านี้ บางทีอาจเข้าใจอะไรมากขึ้น
มุมอื่นในวัดเรียวอันจิ
17.00 น. วัดปิด ได้เวลากลับแล้ว
เราเลือกที่จะนั่งรถเมล์กลับ กะว่าจะนั่งรถชมเมืองเกียวโตยามเย็นซะหน่อย แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังคาด เพราะรถเมล์แน่นม๊าาากกกกกกกก!!!! ทั้ง ๆ ที่เป็นวันอาทิตย์นะเนี่ย
เล่นเอาเหนื่อยเลยเหมือนกัน...ดูเหมือนคณะเดินทางของดิฉันจะเข็ดกับรถเมล์เกียวโตซะแล้วสิ เหอ ๆ

แต่กระนั้น เราก็ได้เห็นความมีระเบียบวินัยและความถ้อยทีถ้อยอาศัยของชาวญี่ปุ่น เนื่องจากเวลาลงรถจะต้องลงทางประตูหน้าเสมอ ดังนั้นคนขับจะคอยดูแลผู้โดยสารให้ลงจากรถอย่างปลอดภัย ไม่มีการเลื่อนรถกระดื๊บ ๆ ตามคันหน้าทั้ง ๆ ที่ผู้โดยสารยังลงไม่เสร็จ และถ้ารถยังไม่เข้าป้าย (เป๊ะ) จะไม่มีการเปิดประตูเด็ดขาด ดังนั้น เราจะไม่เห็นภาพผู้โดยสารที่วิ่งกรูกันไปมา เพื่อแย่งขึ้นรถที่กำลังจะเข้าป้าย เพราะรู้ว่า ถึงจะวิ่งไป..เค้าก็ไม่เปิดประตูให้คุณขึ้นหรอก
ตอนที่ดิฉันและชาวคณะ กำลังลงจากรถ ด้วยความที่อยู่ด้านหลังและต้องเบียดเสียดฝูงชนเพื่อมาลงประตูหน้า ก็กลัวว่า คนขับจะมองไม่เห็น ปิดประตูเคลื่อนรถออกไปซะก่อน จึงพยายามส่งเสียงภาษาญี่ปุ่นด้วยสำเนียงประหลาด ๆ "sumimasen sumimasen" ประมาณว่า ขอโทษค่า..ขอทางหน่อย..
ทันใดนั้น ดิฉันก็ได้ยินเสียงแหบห้าว ดังลั่นคันรถข้ามหัวดิฉันไป "SUMIMASENNNNN...."
เมื่อหันกลับไป ก็พบแววตาเป็นมิตรคู่นึง "นี่เค้าช่วยตะโกนให้ดิฉันหรอเนี่ย? อุ๊ยตาย..ขอบพระคุณค่ะ" ดิฉันก้มหัวให้เค้าเล็กน้อยพร้อมด้วยแววตาขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ก่อนจะเดินลงจากรถด้วยหัวใจอันพองโต...ประทับใจจังค่ะ ^_^

เมื่อกลับถึงที่พัก วันนี้เป็นวันที่เราจะได้นอนห้องใหม่ (ตามที่ได้จองไว้แต่แรก) ไปยลโฉมกันเลยดีกว่า
ว้าว กลิ้งเกลือกได้สบายเลย
เมื่อเทียบกับห้องในคืนแรก รู้สึกว่าห้องนี้โอ่โถงมาก ๆ 5555...มีฟามสุข (ถ้าอยากรู้ว่าห้องแรกเป็นยังไง ย้อนไปดูได้ใน บทความ "Day 1: Kyoto..ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ วัดโทฟุคุจิ" นะค๊า)
มีทางเดินระหว่างประตูด้วย ด้านขวามือเป็นห้องน้ำ

ห้องน้ำฉบับ compact แต่มีทุกสิ่งให้เลือกสรร

แถมท้ายด้วยโต๊ะเครื่องแป้งเล็ก ๆ ริมระเบียง
เอาล่ะ perfect สุด ๆ ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้วค่ะ เราจะนอนที่ห้องนี้นับตั้งแต่คืนนี้ไปจนคืนสุดท้ายในเกียวโตเลยทีเดียว นี่ล่ะ..บ้านของช้านนนนน
จบแล้วสำหรับวันนี้ มีความสุขจริง ๆ