ตอนแรกวางแผนว่าจะนั่งรถเมล์จาก อาราชิยาม่า ไป วัดคินคะคุจิ แต่ว่าด้วยความที่วันสุดสัปดาห์ ถนนจะถูกปิดเพื่อใช้เป็นถนนคนเดิน เราจึงต้องนั่งรถไฟท้องถิ่นกันออกมาก่อนแล้วจึงค่อยต่อรถเมล์กันอีกเล็กน้อย ในที่สุดก็ได้ใช้ บัตร Kyoto City Buses 1 day pass สมใจ
รถเมล์ในเกียวโตก็ แน่นบ้าง โล่งบ้าง ส่วนการจราจรก็มีติดขัดบ้างเหมือนกัน จะว่าไปก็...น้อง ๆ กรุงเทพนิดหน่อยค่ะ
เรานั่งรถเมล์สาย 205 มาลงที่ป้าย Kinkakuji-michi จากนั้นเดินตรงขึ้นเนินมาอีกหน่อย ไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงทางเข้าวัดทองคินคะคุจิแล้วล่ะค่ะ วัดนี้จะเปิดตั้งแต่ 9.00-17.00 ค่าเข้าชม 400 yen
|
เมื่อเดินเข้ามาในเขตวัด ก็ได้รับการทักทายจากใบไม้เปลี่ยนสี |
|
เดินผ่านบรรยากาศร่มเย็นของแมกไม้ เอ๊ะนั่น! หออะไรน่ะ? |
|
เป็นหอระฆัง ที่เรียกว่า "โชโร" |
|
และแล้วก็ถึง highlight ของงาน...ศาลาทองริมสระน้ำ |
เห็นมุมนี้ คุ้น ๆ กันแล้วใช่ม้า เป็นมุมคลาสสิก ที่ใครมาถึงก็ต้องถ่ายรูปจากจุดนี้ ช่วงเวลาที่ไปถึงคือราว ๆ บ่ายสามโมง เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์ตกกระทบผนังด้านนึงของตัวศาลาเต็ม ๆ ภาพศาลาสีทองที่เรืองรองสะท้อนอยู่บนผิวน้ำเขียวขจี ท่ามกลางหมู่แมกไม้...โอ ฝันไปรึเปล่าเนี่ย
เพ้อเจ้อกันไปพอสมควร...ย้อนกลับมาดูประวัติศาสตร์ซักเล็กน้อย วัดทองคินคะคุจิ (Kinkakuji) นี้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของท่านโชกุน อะชิคางะ โยชิมิสึ (Ashikaga Yoshimitsu) ผู้ซึ่งเป็นคู่ปรับของอิคคิวซังตามท้องเรื่องนั่นเอง
วัดนี้เดิมทีชื่อวัดโรคุอนจิ (Rokuonji) เคยถูกเผาทำลายมาก็หลายครั้ง ทั้งจากสงครามกลางเมือง และฝีมือพระสงฆ์ในวัดเอง ว่ากันว่า พระสงฆ์รูปนั้นเสียสติและต้องการจะให้ตัวเองมอดไหม้ไปพร้อมกับวัดแห่งนี้ สุดท้ายแล้ว ในปี 1955 วัดคินคะคุจิก็ได้รับการบูรณะให้สวยงามและมีรูปลักษณ์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
|
มุมด้านหลัง ในฤดูใบไม้ร่วง |
|
ทองอร่าม...ชักจะแสบตา |
|
ภาพสุดท้าย ก่อนจากกัน...วัดทองคินคะคุจิ |
ด้านหลังของวัดคินคะคุจิ ยังมีสวนป่าบนเนินเขาให้เดินชมธรรมชาติกัน ต้นไม้อุดมสมบูรณ์ รักษาไว้อย่างดีเหมือนเมื่อร้อยกว่าปีก่อน (เค้าว่ามาหยั่งงี้น่ะค่ะ)
|
นี่เลย...ท้าทายความแม่นยำกันอีกแล้ว |
|
เห็นใบไม้แดงเป็นไม่ได้ ต้องขอซัก แชะ! |
|
มีร้านน้ำชา ให้พักชื่นชมบรรยากาศ |
|
มีศาลเจ้า ให้กราบไหว้ขอพร |
|
ถ้าเสี่ยงเซียมซีไม่ได้ดั่งใจ ก็ผูกทิ้งไว้ตรงนี้ |
|
ทางออกของวัดคินคะคุจิ |
ถ้ดจากวัดคินคะคุจิ เราก็เดินทางสู่สถานที่ถัดไป คือ วัดเรียวอันจิ (Ryoanji) ตอนแรกกะว่าจะนั่งรถเมล์ แต่ว่ารอรถนานเหลือเกิน ก็เลยเลือกที่จะเดินดีกว่า
สองวัดนี้อยู่บนถนนเส้นเดียวกัน ใช้เวลาเดินถึงกันก็ราว ๆ 15-20 นาที
สำหรับวัดเรียวอันจิ มีค่าเข้าชม 500 yen เปิดตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. (แต่ถ้าเป็นช่วงเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ จะเปิดตั้งแต่ 8.30-16.30 น.) ตอนนี้ออกจากวัดคินคะคุจิมาเวลาบ่ายสี่โมงกว่า ๆ ...ต้องทำเวลากันอีกแล้ว...
|
ท่านไดเมียว ตระกูลไหนกันล่ะเนี่ย |
|
บางส่วนของเส้นทางจากวัดคินคะคุจิถึงวัดเรียวอันจิ |
วัดเรียวอันจิเป็นวัดนิกายเซน ที่มีสวนหินอันโด่งดัง เป็นการจัดวางกลุ่มทั้งหมดหิน 15 ก้อน ตามจุดต่าง ๆ บนพื้นกรวดที่ถูกคราดไว้เป็นลายเส้น ว่ากันว่า ไม่ว่าจะมองจากจุดใด จะต้องมีหินอย่างน้อยหนึ่งก้อนที่ถูกบดบังจากสายตา ส่วนความหมายของการจัดวางนั้น ไม่มีใครทราบแน่ชัด ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคล....แหม่ ล้ำลึก
16.40 น. ในที่สุดก็มาถึงจนได้ ว่าแล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปในอาราม
|
เอ๊ะ! คุณลุงกำลังทำอะไร ? |
|
โอ้โห !?! |
|
มุมนี้แน่เลย |
|
เมื่อหันมามองอีกด้านนึง |
จากตอนแรกที่เฉย ๆ กับสวนหิน แต่พอมาเจอพลังของคนที่ดื่มด่ำกับมันแล้ว ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป...
เสียดายที่มาช้าไปหน่อย ไม่งั้นอาจจะได้อยู่กับตัวเองและสวนหินมากกว่านี้ บางทีอาจเข้าใจอะไรมากขึ้น
|
มุมอื่นในวัดเรียวอันจิ |
17.00 น. วัดปิด ได้เวลากลับแล้ว
เราเลือกที่จะนั่งรถเมล์กลับ กะว่าจะนั่งรถชมเมืองเกียวโตยามเย็นซะหน่อย แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังคาด เพราะรถเมล์แน่นม๊าาากกกกกกกก!!!! ทั้ง ๆ ที่เป็นวันอาทิตย์นะเนี่ย
เล่นเอาเหนื่อยเลยเหมือนกัน...ดูเหมือนคณะเดินทางของดิฉันจะเข็ดกับรถเมล์เกียวโตซะแล้วสิ เหอ ๆ
แต่กระนั้น เราก็ได้เห็นความมีระเบียบวินัยและความถ้อยทีถ้อยอาศัยของชาวญี่ปุ่น เนื่องจากเวลาลงรถจะต้องลงทางประตูหน้าเสมอ ดังนั้นคนขับจะคอยดูแลผู้โดยสารให้ลงจากรถอย่างปลอดภัย ไม่มีการเลื่อนรถกระดื๊บ ๆ ตามคันหน้าทั้ง ๆ ที่ผู้โดยสารยังลงไม่เสร็จ และถ้ารถยังไม่เข้าป้าย (เป๊ะ) จะไม่มีการเปิดประตูเด็ดขาด ดังนั้น เราจะไม่เห็นภาพผู้โดยสารที่วิ่งกรูกันไปมา เพื่อแย่งขึ้นรถที่กำลังจะเข้าป้าย เพราะรู้ว่า ถึงจะวิ่งไป..เค้าก็ไม่เปิดประตูให้คุณขึ้นหรอก
ตอนที่ดิฉันและชาวคณะ กำลังลงจากรถ ด้วยความที่อยู่ด้านหลังและต้องเบียดเสียดฝูงชนเพื่อมาลงประตูหน้า ก็กลัวว่า คนขับจะมองไม่เห็น ปิดประตูเคลื่อนรถออกไปซะก่อน จึงพยายามส่งเสียงภาษาญี่ปุ่นด้วยสำเนียงประหลาด ๆ "sumimasen sumimasen" ประมาณว่า ขอโทษค่า..ขอทางหน่อย..
ทันใดนั้น ดิฉันก็ได้ยินเสียงแหบห้าว ดังลั่นคันรถข้ามหัวดิฉันไป
"SUMIMASENNNNN...."
เมื่อหันกลับไป ก็พบแววตาเป็นมิตรคู่นึง "นี่เค้าช่วยตะโกนให้ดิฉันหรอเนี่ย? อุ๊ยตาย..ขอบพระคุณค่ะ" ดิฉันก้มหัวให้เค้าเล็กน้อยพร้อมด้วยแววตาขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ก่อนจะเดินลงจากรถด้วยหัวใจอันพองโต...ประทับใจจังค่ะ ^_^
เมื่อกลับถึงที่พัก วันนี้เป็นวันที่เราจะได้นอนห้องใหม่ (ตามที่ได้จองไว้แต่แรก) ไปยลโฉมกันเลยดีกว่า
|
ว้าว กลิ้งเกลือกได้สบายเลย |
เมื่อเทียบกับห้องในคืนแรก รู้สึกว่าห้องนี้โอ่โถงมาก ๆ 5555...มีฟามสุข (ถ้าอยากรู้ว่าห้องแรกเป็นยังไง ย้อนไปดูได้ใน บทความ "Day 1: Kyoto..ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ วัดโทฟุคุจิ" นะค๊า)
|
มีทางเดินระหว่างประตูด้วย ด้านขวามือเป็นห้องน้ำ |
|
ห้องน้ำฉบับ compact แต่มีทุกสิ่งให้เลือกสรร |
|
แถมท้ายด้วยโต๊ะเครื่องแป้งเล็ก ๆ ริมระเบียง |
เอาล่ะ perfect สุด ๆ ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้วค่ะ เราจะนอนที่ห้องนี้นับตั้งแต่คืนนี้ไปจนคืนสุดท้ายในเกียวโตเลยทีเดียว นี่ล่ะ..บ้านของช้านนนนน
จบแล้วสำหรับวันนี้ มีความสุขจริง ๆ
No comments:
Post a Comment