Sunday, July 17, 2011

Day 2: Kyoto..วัดเท็นริวจิ สะพานโทเง็ตสึเคียว (เช้า)

เช้าวันที่ 2 ในเมืองเกียวโต
แผนการวันนี้ เราจะมุ่งหน้าสู่เขตอาราชิยามา (Arashiyama) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกียวโต และต่อด้วยเขตคินคะคุจิ (Kinkakuji) ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ

เราจะตั้งต้นที่สถานีเกียวโต นั่งรถไฟ JR สาย Sagano line ลงสถานีปลายทาง Saga Arashiyama ค่าโดยสาร 230 yen
สถานีเกียวโตในเช้าวันอาทิตย์ นอกจากจะเป็นชุมสายรถไฟแล้ว ยังเป็นชุมสายของรถบัสด้วย ที่เห็นนี่..คนมาต่อคิวขึ้นรถบัสกันแต่เช้าเลย 
ภายในรถไฟ JR และผู้ร่วมเดินทางไปกับเรา
ปร๊าบบบบ..เดียว ถึงแล้ว สถานี Saga Arashiyama ใช้เวลาไป 17 นาทีจากสถานีเกียวโต
จะเห็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ลิบ ๆ.. อาราชิยามา..ปลายทางของนักท่องเที่ยว (น่าจะแทบทุกคน) ที่อยู่ในสถานีตอนนี้ ดังนั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก ..เดินตามเพื่อน ๆ ไป 555
ระหว่างทางที่เดินไปก็มีอะไรน่าสนใจไม่เบื่อเลย

ว้าว...ปิ้งปลา style ญี่ปุ่นนนนนนนนน


ดูเทคนิคการดัดต้นไม้บ้านนี้ซิคะ เพียรดัดกันมากี่ปีเนี่ย เท่มั่ก ๆ 

 
สุนัขน้อยเดินสวนมาพร้อมกับคุณแม่...


ในที่สุดก็เดินมาจนถึงลานจอดรถของวัดเท็นริวจิ (Tenryuji) ...วันนี้ฟ้าใสดีจริง ๆ

วัดเท็นริวจิ (Tenryuji) เป็นหนึ่งในวัดสำคัญของเกียวโตที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1339 มีจุดเด่นคือ บ่อน้ำใหญ่ที่รายรอบด้วยโขดหินและสวนสวยรับกับฉากหลังที่เป็นภูเขาอาราชิยามา และทางเดินท่ามกลางป่าไผ่ที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวขึ้นไปบนภูเขา เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่ 8.30 - 17.30 ค่าบัตรผ่านประตู 500 yen
 
เริ่มเห็นตัววัดอยู่ไกล ๆ ส่วนด้านซ้ายมือเป็นซุ้มขายเครื่องรางและของที่ระลึก
 
ของที่ระลึกหน้าวัดเท็นริวจิ คนสำคัญชุดแดงนี่ ใครกันน้า ผู้รู้ช่วยตอบด้วย


นี่ล่ะ สวนสวยรอบบ่อน้ำที่กล่าวถึง

มุมที่เห็นภูเขาอาราชิยามาเป็นฉากหลัง
เคยได้ยินว่า ในการจัดสวนญี่ปุ่นนั้น นอกจากความสวยงามลงตัวของตำแหน่งต้นไม้ โขดหิน และบ่อน้ำ ฯลฯ ยังต้องคำนึงถึงทิวทัศน์โดยรอบ สวนที่จัดจะต้องงดงามกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่มีอยู่ด้วย จริงรึเปล่า...ก็ลองดูกัน

ขออีกสักมุม สีสันแสบตาน่าดูชม

ตัววัดสร้างด้วยไม้ แม้ผ่านสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

ความร่มรื่นของสวนไผ่หลังวัด กลางคืนมี light up ด้วย..คงจะสวยไปอีกแบบ เห็นหยั่งนี้ เป็นเนินชันอยู่นะเนี่ย

ต้องเข็นรถกันท่านี้เลย คงหนักน่าดู
รถลากแบบนี้ มีให้เห็นเยอะแยะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของเกียวโต ไม่กล้าถามราคา กลัวแพงอ่าค่า ไม่อยากไปให้ความหวังคุณพี่เค้า...ฮี่ฮี่
เดินขึ้นเขาชมป่าไผ่ไปได้สักพัก..ชักจะเหนื่อย ว่าแล้วเลยหันหลังกลับ เดินทอดน่องทิ้งน้ำหนักไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกดีกว่า
คนแบกเป้น้ำเงิน ๆ นี่ ดิฉันเองค่า ปาปารัซซี่ที่ไหนมาแอบถ่ายไม่รู้
เดินไปได้สักพัก เจอนี่ค่ะ !

Nonomiya Jinja แปลว่า ศาลเจ้า "โนโนมิยะ"
 เป็นศาลเจ้าเล็ก ๆ แต่ร่มรื่น จุดเด่นคือ มีเสาโทริอิเป็นสีดำทำจากเปลือกไม้ มีเรื่องเล่าประมาณว่า ในสมัยโบราณ เจ้าหญิงของตระกูล อิมพิเรียล ผู้ซึ่งถูกรับเลือกให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลศาลเจ้าสำคัญชื่อว่า Ise-Jingu จะต้องมาอยู่ใน Nonomiya jinja เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี เพื่อชำระล้างจิตใจให้สะอาด ก่อนที่จะไปรับหน้าที่สำคัญนั้น ซึ่งศาลเจ้า Nonomiya ที่ว่านี้ อาจมีอยู่หลาย ๆ แห่งก็ได้ และนี่ก็คือ หนึ่งใน Nonomiya jinja เหล่านั้น
เดินออกมาเกือบถึงถนนใหญ่ เจอร้านขายขนมดังโงะร้อน ๆ จ้า อร่อย...แม่ค้าสวย
ในวันสุดสัปดาห์ ในเขตท่องเที่ยวของอาราชิยามา จะถูกปิดให้เป็นถนนคนเดิน ดังนั้นเราจึงเดินไปเรื่อย ๆ ไปตามฝูงชน เพื่อไปดูสะพานโทเง็ตซึเคียว landmark สำคัญของอาราชิยามา แต่สายตาก็เริ่มเหล่ร้านอาหารไปพลาง ๆ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะ 11 โมง...ปกติไม่ค่อยได้ใช้พลังงานก็หยั่งงี้แหละ คนเรา (-_-!)

บรรยากาศของถนนคนเดินในอาราชิยามา

ถึงแล้ว สะพานโทเง็ตซึเคียว ไหงมุมนี้ไม่ค่อยเห็นสีต้นไม้เลย แสงแดดแรงไปรึเปล่า ??


ขยับเข้าไปอีกหน่อยนึง คนเดินขวักไขว่เต็มไปหมดเลย ครึกครี้น ๆ
 
ที่นั่งเล่นริมแม่น้ำรับแดดอุ่น ๆ ก็เยอะ
ย้ำ..ถึงแม้จะใกล้เที่ยง แต่ก็เป็นแสงแดดอุ่น ๆ ไม่ผิดหรอกค่ะ ..ไม่ใช่แดดเมืองไทยนี่คะ ฮิฮิ
เมื่อได้ดูสะพานโทเง็ตซึเคียวสมใจ ก็ไหลตามฝูงชนย้อนกลับมายังร้านอาหารที่หมายตา
นี่!! เต้าหู้ อูด้ง โซบะ ราคาชามละ 300 yen ถูกที่สุดแล้วในทริปนี้!!
มีที่นั่งข้าง ๆ ร้านเหมือนแผงลอยบ้านเราเลย ลุย! ^-^
แต่...ชีวิตหาได้ง่ายเช่นนั้นไม่ เพราะร้านนี้เค้ามีระบบ "สั่งทางหลังร้าน แล้วมารอรับอาหารหน้าร้าน" ภาพที่เห็นคือช่องรับอาหารน่ะค่ะ ตอนแรกก็นึกว่าสั่งตรงนี้แล้วรอรับเลยซะอีก
ที่รู้เพราะตอนที่จะยื่นหน้าเข้าไปสั่ง คุณป้าเจ้าของร้านแกก็บุ้ยใบ้ให้ไปสั่งจากหลังร้านมาก่อน มิน่า คนยืนออ ๆ กัน ไม่ค่อยเป็นคิวเท่าไร (ซึ่งผิดวิสัยคนญี่ปุ่น) ที่แท้เค้ายืนรอฟังคุณป้าประกาศชื่ออาหารนี่เอง เป็นเมนูที่ใครสั่ง คนนั้นก็แสดงตัวมารับไป

ความยากเกิดขึ้นแล้วไง !!
ทว่า..ด้วยความที่คิดว่าไม่น่าจะยาก ถึงแม้ความรู้ภาษาญี่ปุ่นจะเล็กน้อยเพียงปลายหางอึ่ง ก็หาได้สำเหนียกไม่ ว่าแล้วก็ทำตามกติกาเค้าเรย!

1. เดินไปสั่งอาหารหลังร้าน ด้วยการถ่ายรูปหน้าร้านไปจิ้มให้แม่ค้าดู ตามภาพ
2. ดิฉันเลือกมา 3 อย่าง เป็นเต้าหู้ชามซ้ายบนสุด อูดุ้งแห้งล่างซ้าย และโซบะที่โปะด้วยเต้าหู้ทอดตรงกลาง สั่งเสร็จต้องจ่ายตังเลย แล้วไปรอรับอาหารหน้าร้าน

ข้อผิดพลาดคือ
      1. ตอนแรก ดิฉันเข้าใจว่าคุณป้าหน้าร้านแกจะเรียกชื่อลูกค้ามารับอาหาร แต่ไม่..มันคือการขานชื่ออาหารที่สั่ง ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว
      2. ดิฉันคาดว่า คุณเจ๊หลังร้านจะเขียนชื่ออาหารเป็นภาษาอังกฤษให้ เพื่อที่จะได้รู้ว่าชามทีดิฉันสั่งนั้นเรียกว่าอะไร แต่ไม่...คุณเจ๊ไม่ยอมเขียนให้เลย พยายามจะให้ดิฉันจำชื่ออาหารนั้นให้ได้ท่าเดียว คุณเจ๊พูดชื่ออาหารช้า ๆ 2-3 ครั้ง ดิฉันก็พยายามพูดตาม จนคุณเจ๊ให้ผ่าน
      3. ว่าแล้วก็มายืนรอหน้าร้าน จดชื่ออาหารตามสำเนียงที่ได้ยินมา (ไม่รู้ฟังเพี้ยนรึเปล่า แต่ก็ซ้อมจน คุณเจ๊ให้ผ่านแล้วหนิ) แต่เอาเข้าจริง ตอนคุณป้าหน้าร้านขานชื่ออาหารนี่..ฟังไม่ออกเลย เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ มึนไปหมด สุดท้ายโดนพี่ญี่ปุ่นซิวไปหม่ำทุกที

เวลาผ่านไปนานมาก ๆ ไม่ได้กินซักที ชักเครียด
เริ่มคิดว่า..ไม่น่าเล้ย ทำไมไม่ขอคืนเงินตั้งแต่แรกแล้วเปลี่ยนร้านไปซะนะ ?
ถ้าไปขอ cancel ตอนนี้ คุณเจ๊จะจำได้รึเปล่า ลูกค้าเยอะด้วยสิ..แง..เอาไงดี ไม่ยอมพูดอังกฤษซะด้วยสิ ?

ขณะที่ความเครียดเริ่มครอบงำ เหมือนคุณป้าหน้าร้านจะสังเกตเห็นว่ายัยนี่ยืนตาปริบ ๆ อยู่นานแล้ว สุดท้ายแกจึงถามคุณเจ๊หลังร้านว่าดิฉันสั่งอะไร แล้วก็เลยจัดคิวให้เป็นพิเศษ จนได้กินในที่สุด และดีที่คุณเจ๊จำหน้าดิฉันได้ จึงไม่ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม เฮ้อ..เหนื่อยเลยมื้อนี้
ยังไงก็ต้องขอบคุณ คุณป้าและคุณเจ๊ที่ไม่ทอดทิ้งลูกค้าตาดำ ๆ จากเมืองไทยคนนี้ เรื่องผิดพลาดทางเทคนิค ดิฉันขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
กว่าจะได้กิน เล่นเอาเกือบบ่ายสอง ได้มาปุ๊ป..โซ๊ยเลย นึกขึ้นได้! ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระทึก เอ๊ย ที่ระลึกซะหน่อย
  เมื่ออิ่มท้องแล้วก็ออกเดินทางต่อได้ เวลาก็เลยไปเยอะแล้ว รีบไปดูวัดทองคินคะคุจิ ที่อยู่ในท้องเรื่องของ อิคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญา ดีกว่า...