Monday, June 20, 2011

Day 1: Kyoto..ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ วัดโทฟุคุจิ

ความเดิมตอนที่แล้ว ค้างไว้ที่ "การใช้งานของ Kyoto City Bus 1 day Pass" ใช่มั้ยคะ
งั้น ไปต่อกันเลยค่ะ
รถบัสเมืองเกียวโต จะขึ้นทางประตูหลัง แล้วลงทางประตูหน้า
ไม่มีกระเป๋ารถ เพราะเราจะเดินไปหยอดตังค์ที่เครื่อง slot machine ด้านหน้ารถก่อนจะลงนั่นเองค่ะ

ค่ารถก็ออกเป็น 2 ประเภท 

1. ประเภท Flat rate นั่นคือ ราคาเดียว 220 yen จอดได้ทุกป้าย (ฟังดูคล้าย ๆ 30 บาท รักษาทุกโรคแฮะ) สำหรับเด็ก 6-12 ขวบ ลดครึ่งราคาเหลือ 110 yen สังเกตได้จาก Bus No. จะเป็นตัวเลขสีขาว พื้นหลังสีน้ำเงินหรือส้ม

2. ประเภท Non-Flat rate ราคาจะขึ้นอยู่กับระยะทาง และป้าย Bus No. จะเป็นตัวเลขสีดำ พื้นสีขาว แบบนี้ค่ะ
แล้วถ้าเรามีบัตร Kyoto City Bus 1 day Pass จะทำยังไงล่ะคะ ?
ก็ไปตอกบัตรที่เครื่อง slot machine เครื่องเดียวกันนี่แหละค่ะ เฉพาะตอนขึ้นเที่ยวแรกเท่านั้นนะคะ เมื่อตอกแล้วเครื่องจะแสตมป์วันที่ที่เราเริ่มใช้งานออกมา จากนั้นเราจะขึ้นลง ๆ รถอีกกี่สาย กี่รอบก็ได้ภายใน 1 วัน ก่อนลงจากรถ ก็โชว์วันที่ให้คุณพี่คนขับเค้าดูหน่อย ก็เรียบร้อยค่ะ
บัตรนี้ใช้ได้ทั้ง รถบัสประเภท Flat rate และ Non-Flat rate นะคะ ต่างกันนิดเดียวตรงที่ว่า ถ้าเป็นแบบ Non-Flat rate นี่ ถ้าระยะทางไกลมาก ๆ อาจต้องจ่ายเงินเพิ่มต่างหากค่ะ

ช่องสีเขียวแจ่มกว่าเพื่อน คือช่องที่ใช้ตอกบัตร และเราจะได้แสตมป์วันที่ข้างหลังบัตรแบบนี้ค่ะ
เอาล่ะ ซื้อตั๋วเสร็จแล้ว เดินทางต่อได้... เป้าหมายต่อไป "เก็บกระเป๋าที่โรงแรม"
เมื่อออกจากสถานีเกียวโต ก็เจอสิ่งนี้ตรงหน้า กราบสวัสดีคร๊าาาบบบบ...Kyoto Tower

และแล้ว...ก็เริ่มออกเดินไปพร้อมกับมหาชนชาวเกียวโต
 มาตรว่าอีก 15-20 นาทีจะถึงโรงแรมที่จองไว้ นามว่า "Ryokan Ohto"


ลากกระเป๋าแกรก ๆ ข้ามแม่น้ำ Kamo แม่น้ำสายหลักของเมืองเกียวโต

ข้ามสี่แยกอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว Ryokan Ohto เย้ ๆ
ทว่า หารู้ไม่ ข่าวร้ายกำลังรออยู่...เหอ ๆ (-_-!)
.........
ข่าวร้ายที่ว่านั่นก็คือ.. ทางโรงแรมได้ Book ห้องไว้ให้เราคลาดเคลื่อนไป 1 วัน! เท่ากับว่า...คืนแรกนี้เราจะไม่ได้นอนห้องที่จองเอาไว้ ไม่น๊าาาาาาาาาาา!!!!!!
พนักงานก็ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ พร้อมยอมรับผิดแต่โดยดี (เพื่อน ๆ ที่จองโรงแรมผ่าน net ต้องนำหลักฐานการจองติดตัวไปด้วยเสมอนะคะ เผื่อผิดพลาดทางเทคนิคยังไง ก็ยังมีเอกสารยืนยันกับเค้าได้) เคราะห์ดีที่ยังมีห้องเหลืออยู่ ไม่งั้นล่ะก้อ...ไม่รู้ล่ะ ทางโรงแรมจะต้องรับผิดชอบชีวิตอิชั้นสำหรับคืนนี้ให้จงได้!!! ไม่ยอมคร่า... ไม่ย๊อมมมมม!!!

ตีโพยตีพายได้พักใหญ่ สุดท้ายก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรม ไปดูหน้าตาห้องที่จะได้นอนคืนนี้กันดีกว่าค่ะ เป็นห้องเดียวที่เหลืออยู่ ณ ขณะนั้น
นี่คงจะเป็นห้องขนาด SSSS สำหรับคนเดียว (แต่ว่าคณะเดี๊ยนไปกันสองคนนี่สิ!) ดูซิ ถึงขั้นต้องปูฟูกเกยกันเลย 
อีกมุม..จะเห็นว่า เปิดประตูบานเลื่อนเข้ามาปุ๊ป ม้วนตัวลงฟูกไปได้เรยยยย
ห้องนี้ ราคา 4,400 yen ค่ะ ต้องใช้ห้องน้ำรวม แต่ที่จองไปนั้น เป็นห้องสำหรับ 2 คน มีห้องน้ำในตัว ราคา 8,400 yen ทางโรงแรมคืนเงินส่วนต่างให้ แล้วพนักงานก็โก้งโค้งขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า หญิงไทยใจดีเห็นดังนั้น ก็ให้อภัยโดยง่ายดาย ไหน ๆ ทั้งทริปก็จะต้องนอนที่นี่อยู่แล้ว จะมีเรื่องกันไปไย...

คืนแรก...ถึงแม้จะอัตคัตหน่อย แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีนะคะ
ซึ้งเลย...ว่าการอยู่ในประเทศที่ราคาที่ดินแพงลิบลิ่วนั้น เป็นยังไง...

เอาล่ะ กว่าจะเก็บกระเป๋าเสร็จ เวลาก็ล่วงไป บ่ายสองกว่า ๆ แล้ว ออกไปเที่ยวดีกว่า ใกล้จะได้ยลโฉมเต็ม ๆ ตาแล้ว...ใบไม้สีแดง...^_^

ว่าแล้วก็บ่ายหน้าลงสู่ทิศใต้ของเกียวโต ป้ายแรก...ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi-inari Shrine) ศาลเจ้าศาสนาชินโตที่มีเสาประตูโทริอิ (Torii) สีแดงเต็มพรืดไปหมด ซึ่งมาจากการบริจาคโดยผู้คนหรือห้างร้านที่มาสักการะสถานที่แห่งนี้ เพื่อความโชคดี
เดินทางด้วยรถไฟ JR ลงที่สถานี Inari
ถ้าเป็นรถไฟท้องถิ่นสาย Keihan Line ลงที่สถานี Fushimi inari ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
ปากทางเข้าสู่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ เห็นเสาโทริอิอยู่ไหว ๆ
ร้านรวงของกิน ของที่ระลึก จัดไป
อุ๊ยนั่นไง สาวน้อยในชุดกิโมโน
แฮ่ะ ๆ พอไหวมััยคะ นิราศเกียวโตของเดี๊ยน


ใบไม้เหลืองสลับแดง...นี่แค่เพียงเริ่มต้น

ก่อนจะเข้าสู่ศาลเจ้า (ไม่ว่าที่ไหน ๆ) ต้องล้างมือ บ้วนปาก ชำระกายใจให้บริสุทธิซะก่อน
เจอคุณพี่ท่านนี้นั่งแยกเขี๊ยวอยู่ปากประตูทางเข้า
สำหรับศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ จะมีสุนัขจิ้งจอกเป็นองค์รักษ์พิทักษ์ศาลเจ้า ว่ากันว่า ยังทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารไปยังเทพเจ้าอีกด้วย
เทพเจ้าในศาสนาชินโต จะเรียกกันว่า เทพเจ้าคามิ (Kami) เป็นเสมือนหนึ่งตัวแทนของธรรมชาติ ป่าเขา สายลม แสงแดด ไม่มีใครรู้ว่ารูปร่างหน้าตาที่แท้จริงเป็นอย่างไร (สำหรับพี่ไทยอาจจะเรียกว่า เจ้าป่าเจ้าเขา) กำเนิดจากวิญญาณของบรรพบุรุษที่ยังคอยเวียนวนปกป้องลูกหลาน แต่ถ้าลูกหลานไม่เคารพ หรือทำอะไรที่เป็นการดูหมิ่น เทพเจ้าคามิ ก็อาจจะพิโรธแผลงฤทธิ ก่อให้เกิดภัยพิบัตินานา
นี่ไงคะ ซุ๊มเสาโทริอิ (Torii) ยาวขึ้นไปบนยอดเขาโน่นแหละค่ะ เดินได้เป็นชั่วโมงเลย
คราวนี้เจอสาวใหญ่ใส่กิโมโนบ้าง เข้าบรรยากาศดีจัง 
ตัวอักษรที่เขียนอยู่ตามเสา เป็นชื่อของผู้บริจาคค่ะ ราคาเสาแต่ละต้นจะเริ่มต้นที่ราว ๆ 400,000 ถึง 1,000,000 yen ขึ้นอยู่กับขนาด....โอ้หม่ายก๊อดดดดดดด!!!!!
ขนาดกระจุ๋มกระจิ๋มก็มี แล้วแต่กำลังทรัพย์ และกำลังศรัทธา
เขียนคำอธิฐานลงบนแผ่นไม้รูปหน้าจิ้งจอก ที่แบบ original จะมีแค่ขีด 2 ขีดบนหน้าเท่านั้น
แล้วจากนั้น...ก็จะมีพัฒนาการอย่างที่เห็นนี่แหล่ะค่า ^.^
มัวแต่เพลินกับเสาแดง แล้วไหนล่ะใบไม้แดง?? ที่นี่ไม่ค่อยเจอเท่าไร เราลองไปดูอีกแห่งนึงดีกว่า...

วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji) วัดนิกายเซนที่ขึ้นชื่อว่า มีสวนสวยงามนักในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี... 
นั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Tofukuji เสียค่าเข้าชม 400 yen (เฉพาะส่วนของ สะพาน ซึเท็นเคียว (Tsutenkyo Brige) และ วิหารไคซังโดะ (Kaisando Hall) นะคะ) ถ้าอยากดูแบบ full option คือรวมส่วนของ ตึกโฮโจ (Hojo) และสวนโดยรอบ ราคาจะเป็น 800 yen ค่ะ เปิดตั้งแต่ 9.00-16.00 (เฉพาะในเดือนพฤษจิกายน จะเปิดถึง16.30 ค่ะ)

ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไปเที่ยวศาลเจ้ามักจะไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู แต่ถ้าเป็นวัด จะตรงกันข้ามค่ะ

ลงรถไฟมาก็เจอภาพนี้ ผู้คนกำลังมุ่งหน้าไปดูใบไม้แดงกันแน่ ๆ เลย

โอ้วว ยิ่งเดิน..คนก็ยิ่งเยอะ คนที่สวนกลับออกมาก็มาก เพราะบ่ายสามจะครึ่งแล้ว วัดปิด 16.30

เริ่มมีสีแดงแพลม ๆ มาแล้ววว
เมืองหน้าด่านยังเพียงนี้ แล้วราชธานีจะเพียงไหน

ถึงแล้ว...ดงใบไม้แดงแห่งวัดโทฟุคุจิ ที่เห็นไกล ๆ คือสะพาน Tsutenkyo สร้างไว้เพื่อชมใบไม้แดงโดยเฉพาะค่ะ
(มุมคลาสสิกที่ใครมาก็ต้องถ่ายรูปตรงนี้ เดี๊ยนก็ต้องไม่พลาดค่ะ ฮิ ๆ)
ใบไม้เริ่มร่วงไปบ้างเหมือนกัน แต่สำหรับหญิงไทยผู้ที่พึ่งจะได้สัมผัสบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีเป็นครั้งแรกอย่างดิฉัน ก้อ..รู้สึกสุขใจไม่น้อยค่ะ ขนาดคนญี่ปุ่นที่ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนทุกปี ยังตื่นเต้นแห่แหนกันมาดูเลย ทุกคนดูมีความสุข ดิฉันเองก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วมอย่างบอกไม่ถูก
ว่าแล้ว.. เดินดูรอบ ๆ กันต่อดีกว่า
วัดโทฟุคุจิ...มุมนี้
วัดโทฟุคุจิ...มุมนั้น

วัดโทฟุคุจิ...มุมโน้น
วัดโทฟุคุจิ...มุมสูง
วัดโทฟุคุจิ...มุม..คนเยอะ
วัดโทฟุคุจิ...มุมใครมุมมัน

วัดโทฟุคุจิ...มุมนี้แหละ...แชะ!

และแล้วก็ถึงทางออก 16.30 น. พอดี เจ้าหน้าที่ยืนดูแลความเรียบร้อย
กลับบ้านกันดี ๆ นะคร๊าบบบบ ทุกคนนนนน
วันแรกในเกียวโตของดิฉัน ก็คงจะจบลงแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เดินทางมาด้วยกันทั้งวัน
........
พรุ่งนี้ค่อยเจอกันค่ะ ^_^

Sunday, June 19, 2011

Day 1: Kyoto เมืองเก่าของเขาแต่ก่อน


เนื่องด้วยเป็นครั้งแรกของการหลบหนีออกนอกประเทศ อุ้ยไม่ใช่! ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเอง จึงขอเอา "ง่ายเข้าว่า" ไว้ก่อน ดังนั้น จึงเลือกเที่ยวในวงแคบ ๆ คือ เน้นเจาะลึกเมืองหลวงเก่าเกียวโต เพราะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า "เกียวโต...รอบเดียวไม่เคยพอ" (แต่ว่า ก็มีโฉบออกไป นารา วันนึงล่ะค่ะ)


ดิฉันออกเดินทางประมาณช่วงสัปดาห์สุดท้าย ของเดือนพฤศจิกายน 2010 เป้าหมาย คือ สีสันของใบไม้แดง และความสวยงามของปราสาทเก่า ศาลเจ้า และวัดโบราณ การเดินทางทั้งหมด 6 คืน 7 วันค่า


Kyoto แปลว่า "เมืองหลวง" ซึ่งก็เป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 794 จนกระทั่งถึงปี 1868 โน่นล่ะค่ะ จากนั้น เมืองหลวงก็ถูกย้ายทำเลมายังดินแดนแห่งใหม่ที่เรียกว่า เอโดะ (Edo) ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Tokyo แปลว่า "เมืองหลวงทางตะวันออก" ที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักกันดีนั่นแหละค่า


ว่าแล้วก็ ออกเดินทางกันเรยยยยย

พูดไปไวเหมือนโกหก ถึงแล้ว...สนามบินนานาชาติ Kaisai Airport เมืองโอซากา
จากนั้นมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเกียวโต ด้วยรถไฟ JR สาย Limited Express Haruka ด้วยการค้นหาจาก website http://www.hyperdia.com/ ดังนี้ค่ะ
สังเกตดูนะคะ ใช้เวลาเดินทางจาก Kansai Airport ไปยัง Kyoto ทั้งหมด 75 นาที ราคา 3,490 yen ดิฉันจึงขอแนะนำทางเลือกนี้ค่ะ


เราจะซื้อบัตร JR West Rail Pass 1 day ที่ราคา 2,000 yen เพื่อขึ้นรถไฟขบวนนี้กันค่ะ ถูกกว่าใช่มั้ยล่ะคะ


JR West Rail Pass คือบัตรเหมาจ่ายที่ใช้เฉพาะในเขตภาคตะวันตกของญี่ปุ่น แบ่งออก เป็น 2 เขตคือ


1. Kansai Area Pass จะใช้ได้กับรถเร็วจาก Kansai Airport ไปยังเมืองโอซากา โกเบ เกียวโต นารา และ ฮิเมจิ ยกเว้นรถด่วนพิเศษชินคันเซ็นหรือรถด่วนขบวนอื่น ๆ ซึ่ง Kansai Area Pass จะมีขายในญี่ปุ่นเฉพาะ แบบ 1 day เท่านั้นนะคะ ถ้าเป็นแบบอื่น ต้องซื้อนอกประเทศญี่ปุ่นค่ะ


2. Sanyo Area Pass ใช้ได้กับรถไฟ JR ทุกสาขา รวมถึงรถด่วนชินคันเซ็น สายซันโย ขบวนโนโซมิ และรถด่วนจาก Kansai Airport เข้าเมืองโอซากา ต่อไปถึงโอกายาม่า ฮิโรชิมา และฟุคุโอกะได้

 JR WEST RAIL PASS
TypeKansai Area Pass Sanyo Area Pass
AdultsAdults
1-day¥ 2,000
2-day¥ 4,000
3-day¥ 5,000
4-day¥ 6,000¥ 20,000
8-day¥ 30,000



ดูรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่ www.westjr.co.jp/english/global.html
หรือจะสอบถามที่องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นก็ได้นะคะ

ในการซื้อบัตร JR West Rail Pass 1 day ต้องเตรียม Passport ไปด้วยนะคะ ติดต่อที่จุดขายบัตรรถไฟ JR ที่สนามบินคันไซได้เลยค่ะ

หน้าตาของบัตร JR West Rail Pass 1 day
เพียงแค่โชว์บัตรนี้ให้เจ้าหน้าที่ดูก็ผ่านฉลุยแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดอะไรมาก ยิ้มหวาน ๆ ก็พอ
ป้ายบอกบนรถไฟว่า "รถไฟขบวนนี้มุ่งหน้าสู่ปลายทางสถานี เกียวโต ขอรับ" 
ในญี่ปุ่นนี่ ทั้งรถไฟและรถบัสจะมีตัววิ่งบอกตลอดว่าถึงสถานีอะไร และสถานีต่อไปคืออะไร ถ้ามองไม่เห็นป้าย ก็ยังมีเสียงประกาศให้ได้ยิน บางครั้งอาจจะเป็น soundtrack (ญี่ปุ่น) ล้วน ๆ แต่ถ้าพอจับ Keyword (ชื่อสถานีที่เราจะไป) ได้ ก็โอเคล่ะค่ะ ขนาดป้ายรถเมล์ยังมีชื่อป้ายเลย นับว่าช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นระดับปลายหางอึ่งอย่างดิฉันได้มากทีเดียว ^_^
ถึงแล้วสถานี Kyoto ผู้คนรีบร้อนไปไหนกันล่ะนี่.........ก้อขึ้นรถไฟน่ะซี..ถามได้..
คนขวักไขว่ทีเดียว
ความยิ่งใหญ่ของสถานีเกียวโต ว่ากันว่า สูงถึง 12 ชั้น
เมื่อกลับหลังหัน จะพบห้างใหญ่ ห้างดัง ผนึกกำลังขนาบข้าง ...อืม อลังได้อีก
 เที่ยงกว่าแล้ว หาอะไรรองท้องดีกว่า... นี่ล่ะมื้อแรกในเกียวโต
เมื่ออิ่มท้องแล้ว เป้าหมายต่อไป คือ Tourist Information Center ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของสถานีเกียวโตค่ะ จุดประสงค์เพื่อซื้อตั๋วเหมาจ่ายสำหรับการเดินทางในเมืองเกียวโตค่ะ มีตัวเลือกดังนี้ค่ะ

1. Kyoto City Buses 1 day Pass ราคา 500 yen ใช้สำหรับขึ้นรถบัสในเมืองเกียวโตได้ทุกสายไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ภายใน 1 วัน (เด็ก 250 yen)
2. Kyoto Subway 1 day Pass ราคา 600 yen ใช้สำหรับขึ้นรถไฟใต้ดิน ซึ่งมีอยู่ 2 สาย ได้แก่ Karasuma Line และ Tozai Line ได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ภายใน 1 วัน (เด็ก 300 yen)
3. Kyoto Sightseeing Card ราคา 1,200 yen สำหรับ 1 วัน และ 2,000 yen สำหรับ 2 วัน โดยใช้ได้กับรถบัสทุกสายและรถไฟใต้ดินทั้ง 2 สายค่ะ

ดิฉันเลือกข้อ 1 ค่ะ ซื้อตุนไว้ก่อน 2 ใบ เก็บไว้ได้จนกว่าจะเริ่มใช้นั่นแหละค่ะ เพราะจากตำราหลายเล่ม บอกว่ารถบัสนั้น เข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวของเกียวโตได้ดีที่สุด สำหรับทริปนี้ ดิฉันวางแผนที่จะเดินทางด้วยรถบัสและรถไฟท้องถิ่นของเกียวโตค่ะ ก็หลัก ๆ เที่ยวอยู่ในเกียวโตนี่คะ ฮี่ ๆ
สำหรับท่านที่พกบัตร JR Rail Pass อย่าลืมนะคะ ใช้ได้กับ รถไฟ JR หรือ รถบัส JR เท่านั้น
ตั๋ว Kyoto City Buses 1 day Pass
เอาล่ะค่ะ เดี๋ยวเรามาดูกันตอนหน้า ว่าเจ้าตั๋วนี่ใช้งานยังไง

Saturday, June 18, 2011

เมื่อมือใหม่..จะไปญี่ปุ่น

สวัสดีค่ะ


ดิฉันเป็นคนนึงนะคะที่ไม่ค่อยได้ไปไหนไกล ๆ ด้วยตัวเองซักเท่าไร แม้กระทั่งออกต่างจังหวัดเพียงลำพังยังไม่เคยเลยค่ะ แต่อะไร...เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากตะเกียกตะกายไปถึงญี่ปุ่นน่ะหรอคะ


อืม..อาจเป็นเพราะทำงานอยู่บริษัทญี่ปุ่นมั้งคะ เห็นนายญี่ปุ่นเดินไปเดินมาบ่อย ๆ เข้า เลยอยากไปสัมผัสวิถีชีวิต และบรรยากาศของบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเค้าเหล่านั้นบ้าง


อยากรู้ว่า..อะไรนะ ที่ทำให้คนญี่ปุ่น มีบุคลิกเฉพาะตัว ไม่เหมือนชนชาติใดในโลก (นัยว่า...อะไรน๊า ทำให้นายตรูเป็นเยี่ยงนี้...ฮี่ ๆ น่ารักน่าชังไม่เหมือนใคร) 


ว่าแล้ว เริ่มเลยดีกว่า....
ขั้นแรก ตอบคำถามตัวเองก่อน สัก 4-5 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. อยากไปฤดูกาลใด
    ญี่ปุ่น มี 4 ฤดู คุณอยากจะชมซากุระบานในฤดูใบไม้ผลิ ดูดอกไม้ไฟในฤดูร้อน เพลิดเพลินกับสีสันของใบไม้แดงในฤดูใบไม้ร่วง หรือ สนุกสนานกับหิมะในฤดูหนาว ดีล่ะคะ
2. อยากไปเที่ยวที่ไหน
   คุณชอบสวนสนุก ช้อปปิ้งสินค้าอินเทรน สัมผัสเมืองใหญ่ล้ำสมัย เทคโนโลยีสุดฮิป วัฒนธรรมเก่าแก่ ธรรมชาติสุขสงบ หรือ วิถีแห่งเซน จัดได้ตามใจคุณ
3. จะไปสถานที่เหล่านั้นได้ยังไง
    มี website ที่คุณสามารถใช้สืบค้นวิธีการเดินทาง ตารางรถไฟ ระยะทาง และค่าใช้จ่าย สำหรับภายในประเทศญี่ปุ่นได้ เพียงแค่ระบุสถานีต้นทาง และปลายทางลงไปเท่านั้นเองค่ะ นั่นคือ website ที่ชื่อว่า Hyperdia ตามลิ้งค์นี้ค่ะ http://www.hyperdia.com/en/  ซึ่งมันช่วยในการเปรียบเทียบดูว่า การใช้บัตรเหมาจ่ายรายวันชนิดต่าง ๆ นั้น คุ้มค่าหรือไม่ หรือบัตรเหมาจ่ายแบบใด ที่จะเหมาะกับการเดินทางของคุณ
4. กินอะไร
    อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบและรสนิยมค่ะ สำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างดิฉัน เมื่อคำนวณจากราคาราเมงภายในประเทศแล้ว คิดว่า มื้อละ 1,000 yen ก็น่าจะพอค่ะ (ถ้าคิดคร่าว ๆ ที่ Exchange rate 0.3800 ก็ราว ๆ มื้อละ 380 บาทค่ะ)  
5.นอนที่ไหนดี
ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนตัวอีกเช่นกัน ว่าต้องการหรูเลิศ อลังการ ใจกลางย่านช้อป ชิม ชิลล์ หรือ สมถะหลบมุม นอนฟังเสียงหรีดหริ่งเรไร ใกล้ชิดธรรมชาติ
สำหรับดิฉัน ขอเลือกที่ราคาเบา ๆ เหมาะแก่ชนชั้นกลาง โดย website ที่ดิฉันใช้บริการสำหรับทริปนี้ ได้แก่ http://www.itcj.jp/eng/index.php ในชื่อ "Welcome Inn Reservation Center (WIRC)" ดำเนินงานโดยศูนย์นักท่องเที่ยวนานาชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น รับจองที่พัก Welcome Inn แบบประหยัด โดยไม่คิดค่าบริการค่ะ


ทั้งหมดทั้งมวล จะนำมาซึ่ง Budget ในการเดินทางของเรานั่นเองค่า จะถูกจะแพงอย่างไรไม่ว่า ขอให้อยู่ในจุดที่เราพึงพอใจเป็นใช้ได้ (จะได้รู้ตัวแต่เนิ่น ๆ ว่า ทริปนี้..ค่าเสียหายประมาณเท่าไร)


แหล่งข้อมูลการท่องเที่ยวญี่ปุ่นนั้น มีเยอะม๊ากกกกกก ดิฉันขอแนะนำสัก 2 website ที่มีรายละเอียดแน่นปึ๊ก ทั้งการเดินทาง ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว มึนงงเยี่ยงไร มาเริ่มต้นได้ที่นี่ค่ะ


1. website ของ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO)
    http://www.yokosojapan.org/index.php
2. ถ้าคุณไม่ค่อยถนัดภาษาไทย มา website นี้เลยค่ะ เรียกว่า all about Japan เลยก็ว่าได้
    http://www.japan-guide.com/


ต่อไปเป็นเรื่องของการขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่่น
จะไม่ขอลงรายละเอียดอะไรมาก เพราะมีแหล่งข้อมูลแน่นปึ๊กให้คุณอยู่แล้ว ที่แผนกกงสุลสถานฑูตญี่ปุ่นค่า ไปกันเร๊ยยยยยย
http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm


เอาล่ะ หาที่เที่ยวพร้อม ที่พักพร้อม วีซ่าพร้อม ได้เวลาจองตั๋วเครื่องบินแร้ววว
ถ้ายังไม่มี agent ในดวงใจ ดิฉันก็ขอแนะนำ http://hflight.net/index.php ไว้เป็นเบื้องต้นค่ะ เพราะจากประสบการณ์ที่ลองมา 2-3 แห่ง ที่ hflight.net โอเปอเรเตอร์อัธยาศัยดี การจองตั๋วก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ (ถ้าเป็นเรื่องราคาตั๋วเครื่องบิน ไม่กล้าฟันธงว่าที่ไหนถูกที่สุด อาจจะขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลาค่ะ) เวลาจอง ดูราคาดี ๆ นะคะ ว่ารวมภาษีสนามบินรึยัง
ถ้ากูรูท่านใดมี agent ใดแนะนำ ก็เชิญ share กันได้นะคะ มือใหม่อย่างข้าน้อยขอน้อมรับค่า